ล้านช้าง : ตำนานท้าวศรีโคตรบอง
......................
(ก) ที่มา
ผู้เขียนมีความสงสัยมานานแล้วว่า พอพูดถึงประเทศลาวหรือเมืองลาวก็จะพากันพูดว่า “ล้านช้าง” และในประวัติศาสตร์ก็บอกว่ามี “อาณาจักรล้านช้าง” แต่ไม่เห็นว่ามีเมืองไหนที่ชื่อล้านช้างเลย แต่พอมาได้ศึกษาตำนานหรือนิทาน เรื่อง ท้าวศรีโคตรบอง หรือ ท้าวศรีพระตะบอง จึงได้เข้าใจ และที่ตะลึงและแปลกใจมากก็คือว่า เมืองล้านช้างหรืออาณาจักรล้านช้างซึ่งเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร และอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรต่างๆ ทำไม? ถึงไม่เจริญเท่ากับเมืองอื่นๆ ในแถบนี้ และยังต้องตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติอีกด้วย พอได้ทราบว่าเป็นเพราะบาปกรรมที่เคยทำร้ายท้าวศรีโคตรบองผู้มีพระคุณใหญ่ จนต้องโดนคำสาปอันศักดิ์สิทธิ์ของท้าวคนนั้น จึงเข้าใจและสะเทือนใจในเหตุผลและชะตากรรมนั้น ดังมีเรื่องราวดังต่อไปนี้
(ข) เนื้อเรื่อง
ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ นครเวียงจันทร์ อันเมืองหลวงของประเทศลาวในสมัยโบราณ มีกษัตริย์ผู้ปกครองชื่อ “ท้าวหาญ” มีพระมเหสีชื่อ “นางจันทร์” และมีพระธิดาแสนสวยชื่อ “นางเขียวค่อม” ในคราวหนึ่งได้เกิดวิกฤตการณ์ช้างนับล้านตัวได้เข้ามาบุกทำลายไร่นา สวนผักและสวนผลไม้ต่างๆ ตลอดจนบ้านเรือนของผู้คนเสียหายอย่างมากมาย จนกระทั่งบุกรุกเข้ามาถึงเขตพระราชวังเมืองเวียงจันทร์อีกด้วย พระราชาจึงได้ส่งทหารและกองทัพไปปราบ แต่ไม่มีใครสามารถปราบพญาช้างและโขลงช้างจำนวนมหาศาลนี้ได้ จึงได้ป่าวประกาศหาผู้มีฝีมือมาปราบ หากสามารถปราบช้างนับล้านตัวนี้ได้ จะยกราชสมบัติให้ครองครึ่งหนึ่งและจะยกพระธิดาให้เป็นมเหสีอีกด้วย
กล่าวถึงท้าวศรีโคตรบอง ณ เมืองศรีโคตรบูรณ์ (ซึ่งอยู่ฝั่งประเทศไทยในเขตจังหวัดนครพนมในปัจจุบัน) เขาเป็นเด็กที่แปลกประหลาดมาก เป็นเด็กทารกแต่กินข้าวเยอะมากถึง ๗ หม้อถึงจะอิ่ม พ่อและแม่ทนเลี้ยงไม่ไหว จึงนำไปฝากให้ไปอยู่กับพระอาจารย์ที่วัดใกล้บ้าน และจะให้บวชเป็นสามเณรในเวลาต่อมา โดยหวังว่าจะได้กินข้าวที่ชาวบ้านนำมาทำบุญทำทาน ซึ่งพระอาจารย์ท่านก็ได้รับไว้ด้วยเอ็นดูในความซื่อและไร้เดียงสาของเด็กคนนี้ และยังได้พร่ำสอนวิชาอาคมและคาถาต่างๆ ให้อย่างดีอีกด้วย
อยู่มาวันหนึ่ง ชาวบ้านเกิดเหตุอันใดไม่ทราบจึงไม่ได้พากันมาทำบุญที่วัด พระอาจารย์จึงให้สามเณรศรีโคตรไปหาข้าวสารมาหุงฉันกันเอง สามเณรศรีโคตรได้ไปหาหักไม้อะไรมาก็ไม่ทราบเป็นไม้แปลกๆ มาทำเป็นที่กวนข้าว (น่าจะเป็นไม้นางพญางิ้วดำ) พอกวนข้าวแล้วปิดฝาหม้อไว้ พอข้าวสุกก็เลยยกไปถวายพระอาจารย์ พอพระอาจารย์เปิดหม้อข้าวขึ้นมา ได้เกิดเหตุประหลาดและอัศจรรย์ เพราะข้าวนั้นกลายเป็นสีดำทั้งหมด พระอาจารย์เห็นว่าข้าวนั้นดำยังกับถ่าน เลยไม่ค่อยพอใจศรีโคตร จึงได้บอกให้สามเณรศรีโคตรฉันคนเดียวให้หมดทั้งหม้อ ศรีโคตรคนซื่อก็เลยกินข้าวในหม้อนั้นจนหมด แต่พอกินเข้าไปก็เกิดเรื่องแปลกๆ กับตนเอง คือ ตนเองเหมือนเกิดมีกำลังวังชามากมายราวกับช้างสาร สามารถหักไม้ต้นใหญ่ได้เป็น ๒ ท่อน ถึงขนาดเอาไม้ใหญ่มาทำเป็นตะบองไว้เป็นอาวุธคู่กาย ดาบหรือศาสตราวุธใดๆ เมื่อเจอไม้ซุงแฝกนี้ก็คงไม่อาจที่จะต้านทานได้ ซ้ำร่างกายของศรีโคตรยังแข็งแรง อยู่ยงคงกระพัน ไม่ว่าจะศาสตราวุธใดๆ เช่น ดาบ ปืน หอก ค้อน เป็นต้น ก็ไม่อาจทำอะไรร่างกายของตนได้
เมื่อพระอาจารย์เห็นเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้นกับสามเณรแบบนั้น เลยลองทำนายทายทักดู และรู้ว่าเป็นบุญญาวาสนาของศรีโคตรที่ได้กินข้าวในหม้อนั้นเพียงคนเดียว และศรีโคตรจะเจริญในภายภาคหน้าถึงกับเป็นใหญ่เป็นโตเมื่อเดินทางขึ้นไปทางทิศเหนือ แต่จะมีภัยในตัวเองในภาคหน้าเพราะผู้หญิง พระอาจารย์จึงกล่าวบอกว่า “ให้เณรลาสึกขึ้นเหนือเถิด เณรนั้นก็มีวิชาต่อไปภายภาคหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีเดรัจฉานหรือพญาใดทำอะไรเจ้าได้ แต่มีจุดอ่อนเพียงตรงเดียวคือรูทวารที่เอาไว้ขับถ่ายร่างกาย อย่าบอกใครให้รู้ ห้ามบอกใครทั้งสิ้น” ศรีโคตรรับคำแล้วจึงทำตามที่พระอาจารย์ของตนบอก
ศรีโคตรได้เดินทางขึ้นเหนือ จนวันหนึ่งได้เดินทางมาถึงเมืองเวียงจันทร์ ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นเกิดเหตุโกลาหลในนครเวียงจันทร์ เพราะพญาช้างพาโขลงช้างบริวารนับล้านตัวเข้ามาแถบเวียงจันทร์กองทัพเวียงจันทร์ก็ปราบแต่ก็ไล่ไปไม่ได้ จนเจ้าเมืองได้ประกาศหาคนดีมีฝีมือมาปราบและได้ตั้งรางวัลว่า ถ้าใครปราบช้างได้จะให้ครองนครครึ่งหนึ่งและสร้างเฮือนหิน (ปราสาท) ให้อยู่และจะยกลูกสาวคือนางเขียวค่อมเทวีให้ครองร่วมเฮือนหิน
ขณะนั้นศรีโคตรได้ข่าวว่าเกิดพญาช้างพาบริวารมาสร้างความวุ่นวาย และอาละวาดในเมืองเวียงจันทร์ และเจ้าเมืองเวียงจันทร์มีประกาศเช่นนั้น เลยขออาสาไปปราบ ด้วยว่าศรีโคตรนั้นเป็นคนมีกำลังวังชาเลยอาสามาปราบให้ ด้วยความที่ว่าท้าวศรีโคตรตะบองนั้น มีวิชาปราบกำราบช้างชาวกุย และวิชาอาคมต่างๆ จึงได้สู้กันกับฝูงช้างนับล้านตัว ถึง ๗ วัน ๗ คืน พอชนะสามารถปราบพญาช้างได้ ช้างทั้งโขลงพอเห็นว่าพญาช้างโขลงของตนแพ้พ่ายจึงเกิดความกลัว แตกกระเจิงหนีไปทั่วสารทิศ ชาวบ้านแถบนั้นดีใจกันมาก เจ้าเมืองเวียงจันทร์เองก็ดีพระทัยมากเพราะโขลงช้างนับล้านนั้นได้หนีกระเจิงไปหมดแล้ว และคิดว่าคงเป็นเพราะมหาบุรุษ ปานเทวดามาช่วยตนในคราวนี้ แต่พอมาเจอศรีโคตรเข้ามาพบโดยตรงกลับรู้สึกผิดหวัง เพราะศรีโคตรมีตัวล่ำสัน ผิวคล้ำ หน้าไม่งาม (ตามชาติพันธุ์พื้นเมืองแถบนั้น) จมูกแบน ดั้งหัก กรามใหญ่ นางเขียวค่อมก็แอบเศร้าใจ เพราะจะได้สามีอัปลักษณ์ ส่วนเจ้าชายเชื้อราชพระวงศ์พระองค์หนึ่ง ที่แอบหมายปองนางเขียวค่อมเทวีอยู่ ก็ไม่ค่อยพอใจนักที่เห็นคนที่ตนแอบหมายปองจะมามีคู่กับไพร่อัปลักษณ์ แต่เจ้านครเวียงจันทร์ได้ให้สัจจะไปแล้วเลยจะต้องทำตามสัจจะที่ให้ไว้ และยังเรียกผู้วิเศษคนนี้ว่า ท้าวศรีโคตรพระตะบองเพชร เพราะมาจากแดนศรีโคตรบูรณ์และมีตะบองยักษ์เป็นอาวุธของตน
ต่อมาศรีโคตรที่เป็นคนดี และเป็นคนซื่อ ได้ครองรักกับเจ้าหญิงเขียวค่อมเทวีในปราสาทของตน ศรีโคตรเป็นสามีที่ดี นางเขียวค่อมเองก็รัก (แบบเห็นอกเห็นใจ) แต่ก็รักที่สามีของตนมีความดีและและความซื่อ จนวันหนึ่งเจ้าชายเชื้อพระวงศ์ไม่พอใจศรีโคตร แอบยุยงให้เจ้านครเวียงจันทร์หาทางกำจัดศรีโคตร โดยกล่อมว่า “เสือ ๒ เสือ เมือง ๒ เจ้าผิดโบราณ น่าอับอายปวงราษฎร์ ต่อไปชาวเมืองจะพากันนิยมบารมีศรีโคตร จนแย่งราชสมบัติพระองค์” ทั้งๆ ที่ศรีโคตรไม่เคยคิดการใหญ่พอใจในสิ่งที่เกินมี พระเจ้าเวียงจันทร์ก็เลยระแวง และหลงเชื่อ เลยหาวิธีกำจัด อ้างไปอุทยานล่าสัตว์เล่นกันบ้าง แล้วแต่งทหารฝีมือดีออกทำทีเป็นโจรป่ามาดักทำร้ายศรีโคตรบ้าง แต่ก็ฟันแทงศรีโคตรไม่เข้า และพยายามทำทุกวิธีทางแต่ก็ฆ่าศรีโคตรไม่ตาย ลอบวางยาพิษก็ไม่ได้ เพราะศรีโคตรมักชอบกินอาหารที่เมียทำ โดยนั่งช่วยเมียทำด้วยก็เลยหมดหนทาง ขณะนั้นเองก็นึกถึงนางเขียวค่อมขึ้นมา ก็เลยไปใช้เล่ห์อุบายหลอกถามนางเขียวค่อมว่า “สามีของเธอนั้นเก่งกาจนักบารมีเหลือล้นมีคนทำอันตรายอันใดไม่ได้เลยหรือ สามีเธอแพ้แสลงสิ่งใดเล่า” เมื่อนางเขียวค่อมได้ฟังเองก็รู้สึกสงสัย ตามประสาเด็กสาวคนซื่อ จึงไปอ้อนไปถามเพราะความอยากรู้ว่า “ด้วยเหตุอิหยังน้อ เจ้าอ้ายจั่งเป็นคนเก่ง ไผฆ่ากะบ่ตาย น้องอยากฮู้ว่า เจ้าอ้ายมีดีอิหยังน้อ” ด้วยความที่พระยาศรีโคตรนั้นรักและไว้ใจภรรยา จึงใจอ่อนบอกนางเขียวค่อมไปว่า “ในวัฏสงสารเรานี้ ไม่ว่าพญาเจ้า ยักษ์ ผี หรือ มนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานที่ไหนในโลกก็ฆ่าตนไม่ได้ ไม่มีผู้ใดทำอะไรเราได้ เว้นแต่สมัยบวช พระอาจารย์บอกว่าจะต้องกระทำที่รูทวาร” นางเขียวค่อมเมื่อรู้แล้วก็ดีใจ
ต่อมาเมื่อไปเยี่ยมพ่อ พ่อก็ได้ถามนาง นางก็อวดพ่อตามประสาความซื่อไร้เดียงสาว่า จุดอ่อนอยู่ที่รูทวาร เมื่อเจ้านครเวียงจันทร์และพวกของตนทราบก็หาวิธีดำเนินการสร้างธนูยนต์เพื่อจะยิงรูทวารท้าวศรีโคตร แล้วเชิญให้ท้าวศรีโคตรมากินเลี้ยง โดยให้ลูกสาวทำลาบหอยใส่สะหลอด (ของแสลงที่ทำให้ท้องเสียต่างๆ) กินกันไปพูดคุยกันไป ต่างคนต่างกินโดยไม่ระแวงกัน จนศรีโคตรรู้สึกปวดท้อง ที่บริเวณท้องพระโรงได้ทำห้องบังคลหนัก (ส้วมถ่าย) โดยได้วางยนต์หอกในส้วมถ่ายนั้น พอเสวยเสร็จและท้าวศรีโคตรเข้าห้องบังคลหนัก ได้วางเท้าลงบนไม้พะสด ๒ แคมพอเท้าเหยียบนั่งลงยองๆ ยนต์ธนูหอกก็ทำงาน คือหอกก็แล่นขึ้นทางฮูเก่า (รูทวาร) แล้วจึงลั่นไกให้หอกพุ่งสวนเข้ารูทวารของท้าวศรีโคตร เมื่อท้าวศรีโคตรโดนสวนเข้ารูทวารก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน เกิดความผิดหวังและเสียใจโศกเศร้ามาก เพราะนึกถึงนางเขียวค่อมที่รู้ความลับตน ก่อนที่ท้าวศรีโคตรจะตายนั้นด้วยความแค้นที่โดนทรยศหักหลัง จึงได้ตั้งสัจจะอฐิษฐานสาปแช่งเมืองเวียงจันทร์ไว้ว่า
“สาธุเด้อ! ให้มันเป็นจั่งซีไปตลอดอวสาน พญาใด๋มาคองอย่าให้มันเจริญได้ ให้มันเลวละมันฆ่ากันตายเท่าซั่ว ให้มันฮ่างอยู่เรื่อยเจริญขึ้นสั่วคาว”
พอนางเขียวค่อมผู้เป็นเมียได้ยินเสียงอึกกะทึกเลยรีบเข้าไปดู พอเห็นภาพสามีโดนหอกปักก้นและสาปแช่งอย่างนั้น ก็เลยรู้สึกผิดและเสียใจโศกเศร้าอย่างมาก เพราะสามีของตนต้องมาตายเพราะความโง่เขลาของตน แถมก่อนตายสามีก็ได้สาปแช่งไว้ว่า อันเมืองของพวกตนนี้มีแต่คนที่หาสัจจะมิได้ ข้างฝ่ายเจ้าเขียวค่อมเทวีมเหสีซึ่งเป็นคนซื่อ ได้สารภาพกับศรีโคตรว่านางมิได้รู้ความที่พระบิดาต้องการเอาชีวิตเพียงแต่บอกไปด้วยความซื่อเท่านั้น ศรีโคตรได้ฟังแล้วและรู้ว่านางมิได้หลอกลวงตนจึงบอกว่า
“เอาเถิดก่อนเราตายเห็นแก่ความเป็นผัวเมียกัน เห็นแก่ความซื่อสัตย์ของเจ้าต่อแต่นี้ขอให้พวกเจ้าได้พบความสุขแค่เพียงช้างพับหู งูแลบลิ้น จนกว่าจะได้หินฟูน้ำ งูใหญ่พาด ช้างเผือก และราชาที่เป็นธรรมิกราช จึงจะให้พ้นคำสาปนี้”
แล้วศรีโคตรก็เหาะกลับไปตายที่เมืองศรีโคตรบูรณ์อันเป็นเมืองเกิดของตน แต่ไปถึงที่แม่น้ำโขงก็ตกลงเพราะไปต่อไม่ไหวและตาย ณ ที่ตรงนั้น ก่อนตายจึงอธิษฐานให้สายน้ำพัดพาร่างของตนให้ไปเกยตื้นที่ดินแดนศรีโคตรบูรณ์และให้ค้างเกยตื้นตายเป็นศพอยู่ที่นั้น นับแต่นั้นมาเมืองล้านช้างก็มิได้มีความสงบสุขอีกเลย
(ค) สรุป
๑. จึงได้ทราบที่มาของคำว่า “ล้านช้าง” มาจากการที่ในสมัยโบราณประเทศลาว นครเวียงจันทร์ ได้มีช้างมากมายเป็นล้านตัวมาอาละวาดบุกทำลายนั่นเอง
๒. และทราบแล้วว่าเหตุผลที่เมืองลาว อาณาจักรล้านช้างที่ไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนเมืองอื่นๆ ในแถบนี้ และต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น ก็เพราะโดนคำสาปของท้าวศรีโคตรบองผู้มีพระคุณใหญ่นั่นเอง
๓. เมืองไทยและเมืองลาวอยู่กันคนละฝากฝั่งของแม่น้ำโขง แต่มีความเกี่ยวพันรักใคร่เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ดังเช่นท้าวศรีโคตรบองผู้เป็นสามีอยู่ฝั่งไทยส่วนนางเขียวค่อมเทวีผู้เป็นภรรยาอยู่ฝั่งลาว
๔. ปัจจุบันเมืองลาวประเทศลาวได้มีความเจริญและพัฒนาขึ้นมากแล้ว อันเนื่องมาจากได้พ้นคำสาปแล้วนั่นเอง
ขอขอบคุณ : ตำนานท้าวศรีโคตรตะบองหรือท้าวพระตะบองเพชรสาปเมืองเวียงจันทร์ล้านช้าง https://esanmakmoun.online/sreekottabong/
สุ จิ ปุ ลิ
๖ มิถุนายน ๒๕๖๒