ความรักของคู่บุญบารมี
พระนางพิมพาและพระโพธิสัตว์(องค์สมเด็จพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)นั้น ทรงเกิดมาเป็นคู่รักและเป็นคู่ครองกันมานับอเนกอนันตชาติ ผ่านความสุขและทุกข์ภัยของสังสารวัฏฏ์มาด้วยกันมากมาย นับชาติไม่ถ้วน มีพบมีพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา แต่เมื่อใดที่ได้เกิดมาร่วมกัน ก็ส่งเสริมกันในการสร้างสมบุญบารมีโดย ไม่ย่อท้อด้วยจิตที่เสมอกัน มีความผูกพัน ไม่โกรธไม่เคือง ไม่มีแม้เพียงสายตาที่ทอดดูกันด้วยความไม่พอใจก็ไม่มี ทั้งสองได้เป็นคู่ครองกันมาจนถึงชาติอันเป็นที่สุด(เจ้าชายสิตธัตถะและเจ้าหญิงพิมพา) ซึ่งพระโพธิสัตว์ก็ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพระพระพุทธเจ้า และพระนางพิมพาก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ (ภัททากัจจานาเถรี มหาสาวิกา ผู้เป็นเอตทัคคะด้านผู้ทรงอภิญญา) และพระราหุลราชโอรสก็บรรลุพระอรหันต์ด้วย(เป็นเอตทัคคะด้านใฝ่ในการศึกษา) ซึ่งท่านทั้งสองได้ผ่านอุปสรรคความทุกข์ยาก ความลำบาก และทรมาน(น้ำตาแทบจะเป็นทะเลน้ำตา)ดังที่ได้เรียนได้ศึกษากันมา (แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยวนิดหนึ่ง เมื่อเทียบกับภพชาติก่อนๆ ตั้งแต่เริ่มตั้งสัจจะและเปล่งวาจาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ทีปังกร เมื่อคราว๔ อสงไขย กับอีก๑ แสนมหากัป นับว่าทั้งสองพระองค์เป็น คู่บุญบารมี กันมาอย่างแท้จริง
หมายเหตุ : ๑. ระยะเวลา๑ อสงไขย อยากรู้ว่ายาวนานเท่าไหร่ ให้เขียนเลขหนึ่ง(๑) แล้วตามด้วยเลขศูนย์(๐)๑๔๐ ตัว นั้นคือคำตอบว่ากี่ปี? เช่น ยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ท่านบำเพ็ญบุญบารมีมาทั้งหมด(ทั้ง๓ ช่วง) คือ ๒๐ อสงไขย กับอีก๑ แสนมหากัป ส่วนมหากัปยุคนี้เท่ากับ๑๒๐ ปี ดังนั้น๑ แสนมหากัปเท่ากับ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี เพิ่มเข้าไปอีก จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เพราะพระองค์บำเพ็ญทางด้านปัญญา คือ ปัญญาธิกะพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นพระศรีอริยะเมตไตรย(พระพุทธเจ้าองค์ถัดไป)ซึ่งบำเพ็ญเน้นความเพียร วิริยะธิกะพระพุทธเจ้าจะใช้ระยะเวลามากกว่าถึง๔ เท่าขององค์ปัจจุบัน
๒. การบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อนำพาเวไนยสัตว์ออกจากกองทุกข์ในสังสารวัฏได้นั้น ยาวนานและทุกข์ยากลำบากเกินจะบรรยาย ซึ่งการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นแบ่งเป็น๓ ช่วงคือ
ช่วงที่๑ : มโนปณิธาน คือ เริ่มมีมโนปณิธาน(ตั้งใจอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป)ไม่ออกเสียงพูดว่าจะบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต และต้องทำทุกๆชาติที่เกิดมา แล้วก็ทำจนสิ้นชีวิต (ยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใด)
ช่วงที่๒ : วจีปณิธาน เปล่งวาจาต่อหน้าพระพุทธรูปทุกๆชาติที่เกิดมาว่าจะบำเพ็ญบุญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ทำจนสิ้นชีวิต(ยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใด)
ช่วงที่๓ : กายวจีปณิธาน เปล่งวาจาต่อหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระองค์ก็พยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต แล้วก็บำเพ็ญบุญบารมีในทุกๆชาติที่เกิดมา
๓. แบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าตามช่วงระยะเวลาการบำเพ็ญบารมี ได้ ๓ ประเภท ดังนี้
๓.๑ ปัญญาธิกะพุทธเจ้า คือ บำเพ็ญบารมีเด่นทางด้านมีปัญญาเลิศ ๒๐ อสงไขย กำไรอีกแสนมหากัป (๗+๙+๔= ๒๐)
๓.๒ สัทธาธิกะพุทธเจ้า คือ บำเพ็ญบารมีเด่นทางด้านมีศรัทธาเลิศ ๔๐ อสงไขย กำไรอีกแสนมหากัป (๑๔+๑๘+๘=๔๐)
๓.๑ วิริยาธิกะพุทธเจ้า คือ บำเพ็ญบารมีเด่นทางด้านมีวิริยะเลิศ ๘๐ อสงไขย กำไรอีกแสนมหากัป (๒๘+๓๖+๑๖=๘๐)
เหตุชักนำให้หญิงชายมีใจรักกัน
ก่อนที่หญิงชายจะมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ร่วมกัน เป็นคู่บุญบารมีกันได้นั้นต้องผ่านความรู้สึกและความผูกพันด้วยความรักกันมาก่อน
แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าเหตุใดเล่า!
บางคนบางคู่ เห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียวก็หลงรักกัน
บางคนบางคู่ รู้จักศึกษานิสัยใจคอกันพอสมควร จึงเกิดความรัก
บางคนบางคู่ ได้เกื้อหนุนจุนเจือกัน นานไปก็เกิดเป็นความรัก
บางคนบางคู่ สนิทสนมกลมเกลียวเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็กแต่น้อย แล้วจึง
ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความรักเมื่อโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
บางคนบางคู่ ได้สมหวังในความรักขณะที่บางคู่กลับต้องเลิกรา
บางคนได้แต่หลงรักเขาข้างเดียว แต่เขาไม่เคยมีใจรักตอบ
บางคนเขามาชอบพยายามทอดสะพานให้เรา แต่กลับไม่สนใจ
ขณะที่บางคนทั้งชีวิตกลับเงียบเหงาไม่เคยมีลมรักพัดผ่านมาให้ชื่นใจเลยแม้แต่
เพียงครั้งเดียว
ดูแล้วความรักของหญิงชายนี้ช่างวุ่นวายนัก จนน่าสงสัยว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้
หญิงชายมารักกันหรือมีเหตุอะไรที่ทำให้หญิงชายนั้นไม่รักกัน
มีผู้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าเรื่องความรักของหญิงชายปรากฎในสาเกตชาดกที่ ๗ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเหตุไรหนอเมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ พอเห็นกันเข้าก็เฉยๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้าจิตก็เลื่อมใส"
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงเหตุที่ทำให้หญิงชายรู้สึกรักกันไว้ ดังนี้
"ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑ ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑ เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ น้ำและเปือกตม ฉะนั้น"
ในพระอรรถกถาพระไตรปิฎกขยายความ ว่า ความรักของหญิงชายนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุสองประการ คือ
๑. การ ได้เคยอยู่ร่วมกันมาในกาลก่อน เคยเป็นมารดาบิดา ธิดาบุตร พี่น้องชาย พี่น้องหญิง สามีภรรยา หรือเคยเป็นมิตรสหายกัน เคยอยู่ร่วมเคียงกันมา ความรักความผูกพันนั้นย่อมไม่ละ คงติดตามไปแม้ในภพอื่น
๒. ความเกื้อกูลช่วยเหลือกันในชาติปัจจุบัน
ความรักย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุสองประการนี้
สารพัดคู่
หญิง ชายที่รักกัน และมีความสัมพันธ์กันเรียกว่าเป็นคู่กันลักษณะการเป็นคู่ของหญิงชายนั้นมีได้หลายแบบ คือ
คู่รัก ได้แก่คู่หญิงชายที่มีใจรักสมัครสมานปฏิบัติต่อกันในฐานะคู่รักแต่ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน
คู่ครอง คือ หญิงชายที่ได้ตกลงอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากันในชาติภพปัจจุบัน
เนื้อ คู่ คือ หญิงชายที่เคยเป็นคู่ครองกันมาในอดีตชาติแต่ในชาติภพปัจจุบันอาจเป็นหรือไม่ได้เป็นคู่ครองกันก็ได้
คู่ แท้ คือ หญิงชายที่เป็นเนื้อคู่กันเคยอยู่ร่วมกันในอดีตมามากกว่าคน อื่นๆ หญิงชายแต่ละคนอาจมีคู่แท้ได้หลายคนและเช่นเดียวกับเนื้อคู่ คือ คู่แท้อาจจะไม่ได้เป็นคู่ครองกันในชาติปัจจุบันก็ได้หากทั้งสองฝ่ายไม่ได้มาเกิดร่วมกัน หรือทั้งสองฝ่ายมีวิบากจากถูกอกุศลกรรมมาตัดรอน
คู่เวรคู่กรรม คือ หญิงชายที่ได้เป็นคู่ครองกันใน ปัจจุบัน แต่เนื่องจากเหตุที่ทำให้ต้องมาครองคู่กันนั้นเกิดจากเคยทำอกุศลกรรมร่วมกันไว้ในอดีตจึงต้องมารับวิบากกรรมร่วมกันหรือเคยอาฆาตพยาบาทกันมาก่อนในอดีตจึงต้องมาอยู่ร่วมกันเพื่อแก้แค้น กันตามแรงพยาบาทนั้นคู่ประเภทนี้มักจะมีเหตุให้มีเรื่องทะเลาะ เบาะแว้งกันขัดอกขัดใจกันอยู่ด้วยกันด้วยความทุกข์และเดือดร้อนหาความสุขไม่ได้
คู่บารมี คือ หญิงชายที่เป็นเนื้อคู่กันเคยอยู่เป็นคู่ครองกันมากมากกว่าคู่อื่น และมีความตั้งใจที่จะเกื้อหนุนเป็นคู่ครองกันไปจนกว่าคู่ของตนจะได้สำเร็จในธรรมที่ปรารถนาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ดังเช่นคู่ของพระโพธิสัตว์กับพระนางพิมพา
การปฏิตนเพื่อให้เป็นคู่ครองที่่มีความสุข
หญิงและชายที่รักกัน คงปรารถนาที่จะให้คนรักของตนเป็นเนื้อคู่ที่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ ชาติปางก่อน และคงอยากให้ความรักของตนมีแต่ความสุขตลอดไป แต่ความปรารถนาเช่นนี้ใช่ว่าจะสำเร็จสมความปรารถนาในทุกคู่รัก เพราะบางคู่อาจมีการพลัดพราก ความรักจืดจาง จากหวานกลายเป็นขม บางคู่แม้จะยังรักกัน แต่การทำมาหากินกลับฝืดเคืองชีวิตมีแต่อุปสรรคเหล่านี้ล้วนแต่เป็นทุกข์ที่เกิดเพราะความรักเป็นวิบากที่เกิดจากอกุศลกรรมเก่าทั้งสิ้น
หากหญิงและชายปรารถนาที่จะมีความรักและชีวิตที่ครอบครัวที่เป็นสุขจะต้องเป็นผู้ไม่สร้างอกุศลกรรม ดังนี้
๑. มีความมั่นคงในคู่ครองของตนไม่เจ้าชู้หลายใจไม่ทำให้คู่ของตนผิดหวังชอกช้ำใจโดยเฉพาะต้องมีสติมั่นคงเมื่อได้มีโอกาสได้พบกับเนื้อคู่คนอื่นๆ ที่อาจผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งการได้เคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อนอาจทำให้จิตใจหวั่นไหวได้
๒. ไม่เป็นเหตุให้คู่ครองเขาต้องแตกแยกด้วยความอิจฉา ริษยา
๓. ไม่ล่วงศีลข้อ ๓
๔. ไม่ปรามาสพระอรหันต์ ดังหลักฐานปรากฎในพระไตรปิฎกว่าคนที่ปรามาสพระอรหันต์หญิงมักได้ รับเศษกรรมในเรื่องของคู่ครอง
สัญญานคู่แท้
เนื่องจากคู่แท้ คือ คนที่เป็นเนื้อคู่กันมานานแสนนานความรักความผูกพันข้ามภพชาติจึงมีมากเหนือคู่แบบอื่น และอาจมีอธิษฐานร่วมกันมาแล้วในอดีตชาติจึงพอจะสังเกตได้ว่าใครเป็นคู่แท้คู่บารมี
ลักษณะอาการที่แสดงเมื่อคู่บารมีมาพบกัน เช่น
เมื่อแรกพบก็รู้สึกคุ้นเคย อาจจำกันได้ อาจจะไม่รู้สึกว่ารักตั้งแต่แรกพบแต่มีรู้สึกว่าผูกพันกันมากกว่า
ไม่ว่าทำสิ่งใดก็มักคล้อยตามกันมีความคิดลงรอยกันมากกว่าปกติ
แม้อยู่ห่างไกลกันต่างจังหวัดต่างบ้านต่างเมืองก็มีเหตุชักนำให้ได้มาพบกันแบบแปลกๆ ด้วยหน้าที่การงานด้วยเหตุบังเอิญหรือแม้แต่มีผู้ใหญ่จัดสรรให้ได้พบกันก็มี
หากมีกรรมพลัดพรากเป็นเหตุให้ทั้งคู่ยังไม่ได้พบกันอีกฝ่ายจะมีความรู้สึกเหมือนรอคอยใครสักคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครแม้มีหญิงชายมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ไม่ได้มีจิตคิดผูกพันกับใครอย่างจริงจังอาจมีบ้างที่มีรักมีสัมพันธ์กับใครไปก่อน แต่มักมีเหตุให้เลิกราหย่าร้างกันไปด้วยจิตใจที่รอคอยใครสักคนที่เป็นคู่แท้ของตน
และหากได้พบกับคู่แท้ของตนแล้วแต่มีวิบากจากอกุศลกรรมอันเป็นกรรมพลัดพรากมาตัดรอน เป็นเหตุให้ต้องจากกันในภายหลัง แม้จะจากกันไปนานแสนนานนับสิบๆ ปี ก็ไม่อาจลืมกันได้
การตั้งความ ปรารถนาจะพบกันในชาติภพต่อไป
หญิงชายแต่ละคนนั้นต่างผ่านทุกข์ภัยของสังสารวัฏฏ์มานานแสนนาน ต่างผ่านการครองคู่มานับครั้งไม่ ถ้วน แต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมาย เป็นแสนเป็นล้านคน บางคนเป็นคู่กันแล้วก็มีความสุข อยากพบเจอและได้อยู่เป็นคู่กันอีกใน ชาติภพต่อไป แต่บางคนก็เบื่อหน่ายไม่ถูกใจคู่ของตน ไม่ปรารถนาจะกลับมาพบเจอกันอีก
เหตุที่จะทำให้คู่หญิงชายมีโอกาส ได้อยู่ร่วมกันในชาติภพต่อไปนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเหตุปัจจัยไว้ ในสมชีวิสูตรที่ ๑ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ดังนี้
"ดูกร คฤหบดีและคฤหปตานีถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพไซร้ทั้งสองพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกันมีศีลเสมอกันมีจาคะเสมอกันมีปัญญาเสมอกันภรรยาและสามีทั้งสองนั้นย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธารู้ความประสงค์ของผู้ขอมีความสำรวมเป็นอยู่โดยธรรมเจรจาคำที่น่ารักแก่กันและกันย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมากมีความผาสุกทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกันรักใคร่กันมากไม่มีใจร้ายต่อกันประพฤติธรรมในโลกนี้แล้วทั้งสองเป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกันย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก"
ดังนั้น เมื่อหญิงชายปรารถนาจะได้พบกันเป็นคู่ครองกันอีกในชาติภพต่อๆ ไปหญิงชายทั้งสองนั้นต้องปฏิบัติตามพุทธพจน์และมีการตั้งจิตปรารถนา ดังนี้
๑. รักษาศีลให้เสมอกัน
บุคคลที่มีศีลเสมอกันย่อมอยู่ร่วมกันได้ในปัจจุบันเมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็สามารถไปเสวยกรรมดีร่วมกัน แต่หากฝ่ายหนึ่งทรงศีลแต่อีกฝ่ายทุศีลฝ่ายหนึ่งย่อมไปสู่สุคติภูมิส่วนอีกฝ่ายต้องไปสู่อบายภูมิโอกาสที่จะได้กลับมาพบกันนั้นยากยิ่งนัก
๒. ให้ทานและยินดีในการบริจาคเสมอกัน
หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้ทานและบริจาคแต่อีกฝ่ายไม่ชอบใจก็จะเกิดความขัดแย้งไม่ลงรอยกันนำไปสู่ความบาดหมางและเอาใจออกห่างกันในที่สุด
๓. ทำปัญญาให้เสมอกัน
การทำปัญญาให้เสมอกันมีการปฏิบัติสมาธิภาวนาจะทำให้ทั้งสองมีความเข้าใจในโลกธรรมเสมอกันมีความเข้าใจในสุขและทุกข์จากการอยู่ร่วมกันและยอมรับกันได้
๔. ตั้งจิตอธิษฐาน
อธิษฐานนั้นมีผลทั้งอธิษฐานที่เป็นกุศลและอกุศลการอธิษฐานเป็นเหมือนการตั้งหางเสือเรือทำให้เรือมุ่งหน้าสู่จุดหมายที่กำหนดไว้ในการครองคู่ก็เช่นกันอธิษฐานจะเป็นตัวชักนำให้หญิงชายได้กลับมาพบกัน และได้ครองคู่กันได้ในที่สุด ดังเช่น อธิษฐานของ สุมิตตาพราหมณี(พระนางพิมพาเมื่อครั้งแรกปรารถนาจะเป็นคู่บุญบารมีของ สุเมธดาบสหรือเจ้าชายสิตธัตถะหรือพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ซึ่งอธิษฐานเป็นคู่บารมีให้พระโพธิสัตว์จากนั้นมาอีกหลายชาติทั้งสองก็ต้องใช้เวลาปรับ ศีล ทาน และปัญญา ให้มาเสมอกัน และได้เป็นคู่บารมีกันสมคำอธิษฐานนั้น
การปรารถนาเป็นคู่บารมี (คู่ของพระโพธิสัตว์)
หญิงชายที่ปรารถนาเป็นเนื้อคู่กันตลอดไปนั้นสามารถทำได้ไม่ยากเพียงร่วมกันปฏิบัติตนให้มี ศีล ทาน และปัญญา ให้เสมอกัน และมีอธิษฐานร่วมกันเป็นหลักชัย แต่การเป็นคู่บารมีนั้นหมายถึงฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ มีความปรารถนาเอกอุในการบำเพ็ญพุทธการกธรรมเพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาสร้างสม บารมียาวนานอย่างเร็วสุดถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนกัป และอย่างช้าต้องเนินนานถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนกัป ซึ่งเป็นกาลเวลาที่ยาวนานมาก แต่การสร้างสมบารมีของบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้นใช้เวลาประมาณ ๑ แสนกัป ก็มีบุญบารมีมากพอที่จะบรรลุธรรม และหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์นี้ไปได้ การผูกพันเป็นคู่บารมีจึงเป็นการ ผูกมัดตนเองไม่ให้มีโอกาสได้บรรลุธรรม แม้จะได้มีโอกาสได้ฟังธรรม จากพระพุทธเจ้าเป็นแสนเป็นล้านองค์ นอกจากนี้ การเป็นคู่บารมียังต้องพบกับความทุกข์ยากนานับประการ ดังเช่นที่พระนางพิมพาได้ประสบตลอดเวลายาวนานถึง ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัป
ดังนั้นการจะอธิษฐานติดตามเป็นคู่บารมีพระโพธิสัตว์สักองค์หนึ่ง จึงควรไตร่ตรองให้ดีว่าไม่ใช่อธิษฐานด้วยเหตุเพราะความรักและ ตัณหา แต่ต้องประกอบไปด้วยความรักและความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อพระ โพธิสัตว์องค์นั้น นอกจากนี้ยังต้องมีน้ำใจสงสารและอยากช่วยเหลือสรรพ สัตว์ให้ข้ามพ้นกองทุกข์ และมีกำลังใจเข้มแข็งเท่าเทียมกับพระ โพธิสัตว์องค์หนึ่งเช่นกัน...
เกร็ดและของฝากที่ได้จากการศึกษาเรื่องนี้
๑. หากเมื่อรู้สึกว่าในการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ บางครั้งเกิดความ รู้สึกว่าทุกข์ยาก ลำบาก ผิดหวัง หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่ได้ดังใจ ฯลฯ ให้คิดซะว่านี้เป็นเพียงน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับกับชาติก่อนๆ และชาติข้างหน้าในอนาคต
๒. พระพุทธองค์สอนไว้ไม่ให้คำนึงถึงอดีต และกังวลกับอนาคต ให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น คือ มีสติ(ไม่ประมาท) เพราะอดีตรู้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้ อนาคตก็ยังไม่เกิด แต่ถ้าทำปัจจุบันให้ดี รับรองอนาคตดีแน่นอน!(จริงๆแล้วดีตั้งแต่ขณะที่คิดดี ทำดี และพูดดีตอนนั้นแล้ว) เพราะเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำบริสุทธิ์ได้บริสุทธิ์อยู่แล้วนั้นเอง
๓. จริงๆแล้วเราอาจจะบำเพ็ญบุญบารมีอยู่ทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ก็ขอให้มีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะปัญหา อุปสรรค และเสนามารรวมทั้งพญามารอาจจะผจญและลองของเราอยู่ตลอดเวลาทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
๔. เป็นกำลังใจ และเอาใจช่วย ตลอดจนทำบุญกุศลและสร้างบารมีทุกอย่างทุกครั้ง ก็อธิษฐาน และแผ่เมตตาให้อยู่เป็นประจำอยู่เสมอและตลอดไป
ศิษย์ตถาคต