บุรพกรรมของพระพุทธเจ้าที่เคยเกิดเป็นเพศหญิง
เป็นตามกฎแห่งกรรมที่ว่า ทุกดวงจิตดวงวิญญาณย่อมเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ อย่างไม่รู้จักจบสิ้น จนกว่าจะได้บำเพ็ญบุญกุศลได้อย่างสะอาดบริสุทธิ์หมดจากกิเลสและตัณหานั้น จึงจะสามารถหยุดการเวียนว่ายตายเกิด คือ อยู่ในสภาพ ว่าง หรือ สุญญตา ใน แดนนิพพาน อันเป็น บรมสุขไม่มีทุกข์ใดเจือปนได้เลยนั้นเอง แต่กว่าจะทำได้อย่างนั้นก็ต้องเพียรสะสมบุญบารมีอย่างมากมาย และเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิน้อยใหญ่ต่างๆในสังสารวัฏตามบุญตามกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วนั้นเอง
ตัวอย่างต่อไปนี้ เป็นบุรพกรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน(พระสมณโคดมพระพุทธเจ้า หรือ พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า) ซึ่งในอดีตกาลผ่านมาพระองค์ก็ได้ทำผิดศีลผิดธรรม(ศีลข้อที่๓ กาเมสุมิจฉาจาร ในอดีตชาติที่เกิดเป็นมานพหนุ่มช่างทอง) เลยส่งผลให้ไปปฏิสนธิในทุคติภพภูมิ(อบายภูมิหรือภพภูมิที่ต่ำ) ซึ่งรับผลกรรมชั่วอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัสนานแสนนาน จนได้เกิดเป็นเพศหญิง คือ เจ้าหญิงสุมิตตาเทวี หรือ พระนางวิสุทธาเทวีอันเป็นชาติสุดท้ายในสตรีเพศหรือเพศหญิง หลังจากนั้น ถึงแม้จะไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำหรือสูงกว่าภพมนุษย์ ก็ทรงอยู่ในเพศบุรุษ(ปุงค์ลิงค์)ตลอดมา จนถึงชาติสุดท้ายที่ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น พระศรีศากยมุนีโคดมพระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ในที่สุดนั้นเอง ซึ่งพอจะแสดงประวัติผลกรรมดังกล่าวได้อย่างคร่าวๆ ดังนี้
เกิดเป็นมานพหนุ่มช่างทอง
ในชาตินี้พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นบุตรของนายช่างทอง เป็นมานพหนุ่มที่มีรูปสิริเลิศงดงามในเมืองแห่งนั้น มีฝีมือในการทำทองที่ยอดเยี่ยม มีชื่อเสียงขจรไปไกล เพราะความมีฝีมือดีนี้เอง ทำให้ได้มีเศรษฐีของเมืองมาทำการว่าจ้างให้ทำทองรูปพรรณให้กับบุตรสาวของตัวเองที่จะเข้างานวิวาห์มงคล เมื่อเห็นรูปร่างของหนุ่มช่างทองก็เกิดลังเลใจในฝีมือ แต่ก็ไม่สามารถที่จะหาช่างทองที่มีฝีมือดีกว่านี้ได้อีกแล้ว จึงกล่าวกับหนุ่มช่างทองว่า ถ้าท่านเห็นมือ และเท้าของบุตรสาวของเราอย่างเดียวท่านสามารถจะทำทองได้สวยสดงดงามหรือไม่? หนุ่มช่างทองก็บอกว่า ทำได้ เหตุผลที่เศรษฐีถามแบบนี้ ก็เพราะว่าบุตรสาวของตนเป็นหญิงที่สวยสดงดงาม เกรงว่าเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตากันแล้ว ก็จะทำให้ทั้งสองเกิดหวั่นไหว จะมีปัญหาขึ้นมาในการแต่งงานของลูกสาวกับบุตรชายของเพื่อนเศรษฐีที่ได้หมั่นหมายไว้แล้วนั้น จึงเป็นการตัดไฟเสียต้นลม
เมื่อถึงวันที่หนุ่มช่างทอง ทำการตรวจวัดมือและเท้าของบุตรสาวเศรษฐี ที่บ้านของเศรษฐีซึ่งท่านเศรษฐีได้ทำฉากกั้นให้บุตรสาวยื่นเฉพาะมือและเท้าออกมาเท่านั้น แต่บุตรสาวเกิดความสงสัยว่าทำไมบิดาจึงทำอย่างนี้ ในขณะที่ช่างทองกำลังตรวจวัดอยู่ บุตรสาวเศรษฐีก็แอบดูตามช่องที่มองเห็นได้ เมื่อเห็นรูปร่างหนุ่มช่างทองเกิดจิตปฏิพัทธ์หลงรักทันที จึงทำการเขียนอักษรนัดแนะหนุ่มช่างทองทันทีว่า ในค่ำคืนนี้นัดเจอกันที่สวนหลังบ้านที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ฝ่ายหนุ่มช่างทองเมื่อเสร็จภารกิจก็กลับไปยังเรือนของตนเพื่อทำงานทำทองรูปพรรณต่อไป
เมื่อตกตอนค่ำก็อาบน้ำแต่งตัวไปตามนัดที่นางกาญจนวดีกุมารีบุตรสาวเศรษฐีได้เขียนอักษรไว้ แต่มานพหนุ่มช่างทองมาถึงต้นไม้ก่อน ได้นั่งรออยู่ แต่เพราะทำงานหนักมาทั้งวัน เมื่อเจอบรรยากาศเย็นสบายร่มรื่นก็เผลอหลับไป เมื่อนางกาญจนวดีกุมารีมาถึงก็เห็นหนุ่มช่างทองหลับอยู่ก็ไม่กล้าปลุก เพราะคนในสมัยนั้นถือกันว่า ถ้าผู้ใดนอนหลับอยู่ห้ามปลุกขึ้นมาเพราะจะเป็นบาป นางจึงนั่งรอเป็นเวลาพักใหญ่ เห็นว่าไม่ตื่น จึงวางขันใส่ดอกไม้ไว้ แล้วเขียนอักษรไว้ว่า นางมาแล้วแต่ท่านหลับอยู่ จึงวางขันดอกไม้ไว้ให้ทราบ และในราตรีต่อไปขอนัดเจอที่เดิมแล้วจากไป เมื่อหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมาเห็นขันดอกไม้ จึงรู้ว่านางได้มาพบแล้วและกลับไปแล้ว จึงได้อ่านข้อความที่นางเขียนไว้
ตกตอนค่ำในวันต่อมาหนุ่มช่างทองก็ได้ออกไปตามนัดเหมือนเดิม ซึ่งก็เหมอนเดิมอีก คือ ไปถึงก่อนแต่นอนหลับหลังพิงต้นไม้เหมือนเดิม กุมารีก็ไม่ปลุกและวางขันดอกไม้และเขียนข้อความเหมือนเดิมไว้ พอตื่นขึ้นมาก็นึกโกรธตัวเองที่เผลอหลับไป
ในตอนค่ำครั้งที่สามตั้งใจว่าจะไม่ให้หลับ แต่ก็ต้านไม่อยู่ เมื่อกุมารีมาเห็นก็คิดว่า บุญเราไม่ต้องกันที่จะได้อยู่ร่วมกัน เพราะตนจะเข้างานวิวาห์แล้ว นางจึงวางขันไว้เพียงอย่างเดียวไม่ได้เขียนข้อความนัดแนะอันใดไว้อีก พอหนุ่มช่างทองตื่นขึ้นมาก็โกรธตนเองและเสียใจ จึงกลับบ้านด้วยความผิดหวังที่จะได้ดูหน้าตาและรูปร่างของกุมารีเพียงสักครั้ง
แล้วนางกาญจนวดีกุมารีก็เข้าพิธีวิวาห์กับหนุ่มลูกชายเศรษฐีตามกำหนดการ ฝ่ายหนุ่มช่างทองก็คร่ำครวญถึงนางกาญจนวดี ว่าสมควรจะเป็นภรรยาของตนสมควรจะอยู่ร่วมภิรมย์กับตน เพราะหญิงก็มีใจกับตน จึงคิดหาอุบาย คือได้ทำเครื่องทองที่ดีเลิศขึ้นมาชุดหนึ่งแล้วนำไปถวายมหาอุปราช มหาอุปราชทรงพอพระทัย จึงทรงถามหนุ่มช่างทองว่ามีความประสงค์อันใดจึงนำเครื่องทองมาถวาย หนุ่มช่างทองก็ได้บอกวัตถุประสงค์ไป ท่านมหาอุปราชจึงรับปากจะออกอุบายช่วยเหลือ หลังจากนั้นหนุ่มช่างทองก็ได้แต่งตัวเป็นสตรี ปลอมตัวเป็นน้องหญิงของมหาอุปราช แล้วก็ทรงกระบวนช้างผ่านไปยังบ้านของเศรษฐี แล้วตรัสกับท่านเศรษฐีว่า จะเอาน้องมาฝากที่บ้านเศรษฐี เพราะจะออกไปปราบข้าศึกที่ชายแดน และเห็นว่าท่านได้สร้างเรือนใหม่ที่พอจะฝากน้องหญิงได้
มหาอุปราชได้ถามอีกว่า เรือนนั้นเป็นเรือนของใครหรือ?
เศรษฐีจึงตอบว่า เป็นเรือนของบุตรสาวที่พึ่งแต่งงาน
มหาอุปราชกล่าวว่า อย่างนั้นก็ดีสิ! จะได้ให้น้องหญิงพักอยู่ที่นั่น และจะได้ให้บุตรสาวของท่านเป็นเพื่อนของน้องหญิง ให้นางงดการอยู่ร่วมกับสามีชั่วคราว ห้ามผู้ชายแม้กระทั่งสามีของบุตรสาวของท่านเข้าไปในส่วนของชั้นเรือนที่น้องหญิงพักอยู่ โดยมีบุตรสาวของท่านอยู่เป็นเพื่อน แล้วเราจะกลับมารับน้องหญิงในภายหลัง ด้วยความเกรงในอำนาจของอุปราช และเห็นว่าท่านอุปราชทรงห่วงใยน้องหญิงคนนี้มาก เศรษฐีจึงได้ทำตามรับสั่งที่มหาอุปราชกำชับรับสั่งด้วยความเต็มใจ หลังจากนั้นหนุ่มช่างทองก็ได้อยู่ร่วมกับนางกาญจนวดีเป็นเวลา๓ เดือน โดยไม่มีใครรู้เรื่องเลย จนมหาอุปราชมารับกลับไป
ด้วยผลกรรมที่พระโพธิสัตว์ได้ผิดลูกผิดเมียของผู้อื่น(ศีลข้อที่๓) เมื่อสิ้นอายุขัยของตนก็ตกนรกทันที แล้วก็เวียนเกิดเวียนตายระหว่างอบายภูมิ(ทุคติภูมิ)เป็นเวลานานแสนนาน แล้วได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเกิดในภพมนุษย์เป็นกระเทยและเป็นเพศหญิง เป็นพันชาติ รวมเวลาถึง๑๔ มหากัปเลยทีเดียว
***********************
ภพสุดท้ายในการเกิดเป็นเพศหญิงของพระโพธิสัตว์ : เกิดเป็นเจ้าหญิงสุมิตตาเทวี หรือ พระนางวิสุทธาเทวี
จากกรรมที่พระโพธิสัตว์ทำผิดศีล กาเมสุมิจฉาจาร แล้วได้ตกนรกเป็นเวลานานแสนนาน หลังจากนั้นถือกำเนิดเป็นลา เป็นโค เป็นคนพิการ เป็นคนตาบอด เป็นคนหูหนวก เป็นกระเทย และเป็นสตรี อย่างละ๕๐๐ ชาติ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นโทษว่า เกิดเป็นมนุษย์แล้วทำผิดศีลอย่างเด็ดขาดด้วยอำนาจแห่งโทสะ ราคะอย่างรุนแรง และติดต่อกันเป็นเวลานานร่วม๓ เดือน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สร้างบุญกุศลที่ประกอบด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อผู้บริสุทธิ์ด้วยศีลพรต หรือต่อธรรมที่กำหนดให้รักษาศีล๕ อย่างศรัทธาในภายหลัง ซึ่งบาปที่ทำไว้แล้วนั้นมีกำลังรุนแรงเป็นชนกกรรม คือส่งผลทันที(ตกอบายภูมิ)เมื่อตายไปจากภพปัจจุบัน สัตว์ใดเมื่อทำบาปกรรมอย่างรุนแรง เมื่อตกต่ำลงสู่อบายภูมิ การที่จะหลุดออกจากอบายภูมิโดยเร็วพลันนั้นยากยิ่งนัก
มากล่าวถึงพระโพธิสัตว์เสวยเศษกรรมชาติสุดท้าย ด้วยเพราะมีบุญเก่าหนุนนำ จึงได้เกิดเป็นสตรีเพศในวงศ์กษัตริย์ ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าหญิงสุมิตตาราชกุมารี เป็นธิดาของ พระเจ้าสุปปบุตรมหาราช และในกัปนั้นเป็น สารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติเพียงพระองค์เดียว ทรงพระนามว่า พระปุราณทีปังกรพุทธเจ้า พระองค์เป็นราชบุตรของพระเจ้าสุปปบุตรมหาราช แต่ต่างมารดากับเจ้าหญิงสุมิตตาเทวี และพระพุทธเจ้าทรงมีฐานะเป็นพี่ชายของพระนาง เมื่อพระปุราณทีปังกรพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พระองค์ทรงทำให้พระธรรมปรากฏขึ้น ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างได้รับรสพระธรรมนั้นเป็นจำนวนมากมายเหลือคณานับ บังเกิดพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ขจรไกลไปทั่วสากลจักรวาล
กล่าวถึงพระนางสุมิตตาเทวี ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเชษฐาเป็นทุนเดิม เมื่อพระเชษฐาได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ความศรัทธาของพระนางยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
ในวันหนึ่งเวลาใกล้ค่ำ พระนางยืนอยู่บนปราสาทมองลงมาเบื้องล่าง ก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมาบิณฑบาต อยู่ที่หน้าราชวังของพระนาง จึงคิดในพระทัยว่า พระคุณเจ้ามาบิณฑบาตอะไรหนอ ถึงได้มาใกล้ค่ำ จึงทรงสั่งให้บุรุษรับใช้ไปถามพระภิกษุ พระภิกษุรูปนั้นบอกว่า จะมาบิณฑบาตน้ำมัน เมื่อพระนางทรงทราบ จึงได้อาราธนา พระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา ณ อาสนะอันสมควร แล้วพระนางดำรัสตรัสถามว่า พระผู้เป็นเจ้า มีความประสงค์น้ำมันไปเพื่อทำอะไร? พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า อาตมา บิณฑบาตน้ำมันเป็นอันมากเพื่อจุดประทีปมากมาย ทำการสักการบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระปุราณทีปังกรพระพุทธเจ้า จนสิ้นราตรียันรุ่งสาง พร้อมทั้งมีเหล่าพระอริยะสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน อาตมารับทำภารกิจนี้เสมอมา พระนางสุมิตตาเทวีได้รับทราบดังนั้น ก็มีศรัทธาเป็นอันมาก ก็ดำริในพระทัยว่า พระเชษฐาของเราได้ตรัสรู้เป็นพระพทธเจ้า ทรงทำคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในกาลเบื้องหน้าขอให้เราได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลกเหมือนกับพระองค์ หลังจากนั้นพระนางทรงเอาน้ำมันถวายพระคุณเจ้า จนเต็มบาตรพร้อมทั้งกล่าววาจาตั้งปณิธานว่า ด้วยอานิสงส์ผลทานนี้ขอจงเป็นปัจจัยให้ความปรารถนาของข้าพเจ้าจงสำเร็จผลตามที่ปรารถนา และขอให้พระคุณเจ้าจงมีจิตช่วยกราบทูลพระองค์ด้วยว่า พระน้องนางของพระพุทธองค์ ซึ่งมีนามว่า สุมิตตากุมารี มีความศรัทธาเป็นยิ่งนัก ขอกราบแทบพระบาทพระพุทธองค์ และขอตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยในอนาคต ให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่า สิทถัตถะเหมือนด้วยชื่อน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด หลังจากนั้นพระองค์ก็ส่งพระคุณเจ้ากลับไป
ฝ่ายพระคุณเจ้าครั้งเมื่อได้น้ำมันมามากกว่าในทุกวันที่แล้วมา จึงจุดประทีปได้สว่างไสวมากกว่าทุกวัน ครั้นแล้วก็เข้าไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า คืนนี้ข้าพระองค์ได้จุดประทีปบูชาได้มากกว่าคืนก่อนๆ ด้วยน้ำมันพันธุ์ผักกาดอันพระน้องนางสุมิตตาเทวีของพระองค์ถวายมา และพระนางกล่าววาจาอธิษฐานว่า พระนางมีความศรัทธาเป็นยิ่งนักขอกราบแทบพระบาทพระพุทธองค์ และขอตั้งความปรารถนา ด้วยผลทานนี้จงเป็นปัจจัยในอนาคตให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง และขอให้มีพระนามว่าสิตถัตถะเหมือนด้วยชื่อน้ำมันพันธุ์ผักกาดนี้ด้วยเถิด ข้าพระองค์จึงขอถือโอกาสกราบทูลถามต่อพระองค์ว่า ความปรารถนาของพระน้องนางจะสำเร็จหรือไม่พระเจ้าข้า
พระพุทธองค์จึงทรงพิจารณาดูในอดีตภาคของพระน้องนาง ก็ทรงทราบว่าพระน้องนางสุมิตตาเทวี ได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้นานนักหนาเมื่อต้นอสงไขย ตั้งแต่เป็นมานพหนุ่มแบกมารดาข้ามมหาสมุทร และทรงมีพิจารณาดูไปในอนาคตก็ทรงทราบว่าพระน้องนางอาจสำเร็จสมความปรารถนา พระองค์จึงทรงตรัสว่า กาลข้างหน้านับจากนี้ไป๑๖ อสงไขยกับอีกแสนกัป จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าทีปังกร ซึ่งมีนามเสมอกับเรานี้อุบัติขึ้นในโลก แล้วพระน้องนางจะได้รับลัทธาเทศน์พยากรณ์ในสำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อพระคุณเจ้าได้รับฟังคำตรัสของพุทธองค์ ก็กราบทูลลา หลังจากนั้นก็ได้ไปยังปราสาทของพระนางสุมิตตาเทวี แล้วบอกข้อความนั้นแก่พระนางตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสทุกประการ นำความปิติแก่พระนางเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวปวารณาให้พระคุณเจ้า จงมารับน้ำมันในสำนักของพระนางทุกวัน ในวันถัดมาพระนางสุมิตตาราชกุมารี ก็จัดแจงอาหารอย่างประณีตเป็นอันมากพร้อมทั้งเครื่องสักการบูชาถวายบิณฑบาตแก่หมู่พระภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานด้วยความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
พระนางสุมิตตากุมารีทรงเบื่อหน่ายเพศสตรีเป็นกำลัง ครั้นสิ้นอายุขัยก็ได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเทพบุตร(ไม่ใช่เทพธิดา)ในดุสิตเทวโลก อันเป็นการเริ่มเพศบุรุษในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ จนกระทั้งได้รับการลัทธาเทศน์พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรในคราวที่เกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็นฤาษีมีนามว่า สุเมธดาบส ว่าจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตจากนี้ไป๔ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป มีชื่อว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า ซึ่งก็คือพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันนั้นเอง
*********************************************
เป็นสัจธรรมความจริงที่ว่า
ใครจะใหญ่เกินกรรมนั้นไม่มี