มณีโจรชาดก
ว่าด้วยพระเจ้าอธรรมิกราช
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระชนม์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
พระศาสดาทรงสดับว่า พระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตพยายามฆ่าเรา ใช่ว่าในครั้งนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้ครั้งก่อนพยายามฆ่าเราเหมือนกันถึงแม้พยายาม ก็ไม่สามารถฆ่าเราได้ แล้วทรงนำเรื่ออดีตมาตรัสเล่าในอดีตกาล
ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลคหบดี ที่หมู่บ้านไม่ไกลจากกรุงพาราณสี ครั้นเจริญวัย มารดาบิดาจึงได้นำกุลธิดามาจากกรุงพาราณสี นางเป็นที่รัก มีรูปสวย น่าดูดุจเทพอัปสร ดุจบุบผลดา(ดอกไม้เถา) และดุจกินรีเยื้องกราย ปฏิบัติสามีดี ถึงพร้อมด้วยศีลาจารวัตร มีชื่อว่า สุชาดา การปฏิบัติสามีก็ดี การปฏิบัติแม่ผัวก็ดีการปฏิบัติพ่อผัวก็ดี หญิงนี้ทำจนเสร็จสิ้น ตลอดกาลเป็นนิจ นางจึงเป็นที่รัก เป็นที่โปรดปรานของพระโพธิสัตว์ ทั้งสองสามีภรรยามีใจชุ่มชื่นรักเดียวใจเดียว อยู่ร่วมกันด้วยความสมัครสมาน
อยู่มาวันหนึ่ง นางสุชาดาบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า อยากจะไปเยี่ยมมารดาบิดา พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดีละน้อง จงเตรียมเสบียงให้เพียงพอในการเดินทาง ให้ทอดของเคี้ยวต่างชนิดแล้วบรรทุกของเคี้ยวเป็นต้น ลงบนยานน้อย นั่งข้างหน้ายานขับไป ส่วนนางนั่งข้างหลัง ทั้งสองไปใกล้พระนคร จึงปลดยานอาบน้ำบริโภคอาหาร เสร็จแล้วพระโพธิสัตว์ก็เทียมยานนั่งไปข้างหน้า นางสุชาดาผลัดผ้าตกแต่งกายนั่งอยู่ข้างหลัง ในเวลาที่ยานเข้าไปภายในพระนคร พระเจ้าพาราณสีประทับบนคอคชสารตัวประเสริฐ
กระทำทักษิณพระนคร ได้เสด็จมาถึงที่นั้น นางสุชาดา ลงเดินด้วยเท้ามาข้างหลังยาน พระราชาทอดพระเนตรเห็นนาง ถูกรูปสมบัติของนางรัดรึงพระทัย มีจิตปฏิพัทธ์ทรงส่งอำมาตย์คนหนึ่งไปด้วยพระดำรัสว่าท่านจงไป จงรู้ว่า นางมีสามีหรือยังไม่มีครั้นอำมาตย์ไปก็รู้ว่า นางมีสามีแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ นางมีสามีแล้วพระเจ้าข้า บุรุษที่นั่งอยู่บนยานเป็นสามีของนางพระราชาไม่อาจทรงอดกลั้นความมีพระทัยปฏิพัทธ์ได้ ทรงเร่าร้อนไปด้วยกิเลส ทรงดำริว่า เราจักฆ่าเสียด้วยอุบายอย่างหนึ่งแล้วยึดเอาหญิงนี้มา ทรงเรียกบุรุษคนหนึ่งมา แล้วตรัสว่าเจ้าจงไป จงเอาปิ่นมณีนี้ไป ทำเป็นคนเดินถนน ซุกซ่อนไว้ในยานของชายนี้แล้วกลับมาทรงส่งปิ่นมณีให้ไป เขาทูลรับพระดำรัสจึงเอาปิ่นมณีนั้นไปวางไว้ในยานแล้วกลับมากราบทูลว่าเสร็จแล้วพระเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า ปิ่นมณีของเราหายไปพวกมนุษย์ ต่างแตกตื่นเป็นโกลาหล พระราชาตรัสว่าท่านทั้งหลายจงปิดประตูทุกด้าน ตัดการสัญจรไปมาค้นหาโจรพวกราชบุรุษได้ทำตามพระราชโองการ พระนครเกิดเกรียวกราวกันไปทั่ว บุรุษคนหนึ่งพาพวกเจ้าหน้าที่ไปหาพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า จงหยุดยานก่อนพ่อคุณ ปิ่นมณีของพระราชาหายไป เราจักตรวจยาน เมื่อตรวจยาน ยึดปิ่นมณีที่ตนซ่อนไว้จับพระโพธิสัตว์ โบยด้วยมือและเท้า กล่าวหาว่าเป็นโจรลักปิ่นมณีแล้วมัดแขนไพล่หลัง นำไปมอบแด่พระราชา กราบทูลว่า ชายผู้นี้เป็นโจรลักปิ่นมณี พระเจ้าข้าพระราชามีพระบัญชาว่าจงตัดศีรษะมันเสีย พวกราชบุรุษเอาหวายเฆี่ยนพระโพธิสัตว์ยกละสี่ ๆ นำออกจากพระนครทางประตูขวา แม้นางสุชาดาก็ทิ้งยานประคองแขนคร่ำครวญเดินรำพันตามไปข้างหลังว่าข้าแต่สามี ท่านได้รับทุกข์นี้เพราะอาศัยข้าพเจ้า พวกราชบุรุษให้พระโพธิสัตว์นอนหงายด้วยหมายใจว่า จักตัดศีรษะของพระโพธิสัตว์นั้น
นางสุชาดาเห็นดังนั้น จึงรำลึกถึงคุณแห่งศีลของตน แล้วรำพึงเป็นต้นว่า ชื่อว่า เทพเจ้าผู้สามารถห้ามเหล่ามนุษย์มีนิสัยชั่วช้าสามานย์ ซึ่งเบียดเบียนผู้มีศีลทั้งหลายในโลกนี้ เห็นจะไม่มีแล้วหนอ
จึงกล่าวคาถาแรกว่า :
เทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มีอยู่ในโลกนี้เป็นแน่ หรือเมื่อกิจเห็นปานนี้เกิดขึ้น ย่อมพากันไปค้างแรมเสียเป็นแน่ อนึ่ง สมณพราหมณ์ทั้งหลายอันเขาสมมติว่า เป็นผู้รักษาโลก ไม่มีอยู่ในโลกนี้เป็นแน่ืื เมื่อชนทุศีลกระทำกรรรมอันสาหัส บุคคลผู้ห้ามปรามไม่มีอยู่เป็นแน่ เมื่อนางผู้สมบูรณ์ศีลคร่ำครวญอยู่อย่างนี้ อาสนะที่ประทับของท้าวสักกเทวราชก็แสดงอาการร้อน ท้าวสักกะทรงรำพึงว่า ใครหนอหวังจะให้เราเคลื่อนจากตำแหน่งสักกะ ครั้นทรงทราบเหตุนี้ว่า พระราชาพระพาราณสีทรงกระทำกรรมหยาบยิ่งนัก ทำให้นางสุชาดาผู้สมบูรณ์ด้วยศีลลำบาก เราควรจะไปในบัดนี้ จึงเสด็จลงจากเทวโลก บันดาลให้พระราชาลามกซึ่งประทับนั่งบนหลังคชสาร เสด็จลงจากคชสาร ให้บรรทมหงายเหนือเขียงสัญญาณ แล้วทรงอุ้มพระโพธิสัตว์ให้ทรงเครื่องอลังการพร้อมสรรพ ทรงเพศเป็นพระราชาประทับนั่งเหนือคอคชสารเพชฌฆาตผู้ยืนเงื้อขวานคอยจะตัดศีรษะ ก็ตัดเอาพระเศียรของพระราชา ในเวลาตัดนั่นเองจึงรู้ว่าเป็นพระเศียรของพระราชา ท้าวสักกเทวราชทรงแสดงพระกายให้ปรากฏเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ทรงกระทำราชาภิเษกแก่พระราชา ทรงตั้งตำแหน่งอัครมเหสีแก่นางสุชาดา พวกอำมาตย์ พราหมณ์ และคหบดี เป็นต้น เห็นท้าวสักกเทวราชแล้ว ต่างชื่นชมปรีดาว่า พระราชาผู้ปราศจากธรรมสิ้นพระชนม์แล้ว
บัดนี้พวกเราได้พระราชาผู้ทรงธรรม ซึ่งท้าวสักกะทรงประทาน ท้าวสักกะประทับอยู่บนอากาศ ทรงตรัสแก่บริษัททั้งหลายว่า พวกท่านได้พระราชาองค์นี้ ท้าวสักกะให้แล้วมีเทวดำรัสต่อไปว่า ดูก่อนมหาราช ตั้งแต่นี้ไปขอให้ท่านครองราชสมบัติโดยธรรมเถิด หากพระราชาไม่ประกอบด้วยธรรม ฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล ภัยสามอย่างเหล่านี้คือ ภัยเกิดจากความอดอยาก ๑ ภัยเกิดจากโรค ๑ ภัย
เกิดจากศัตรู ๑ ก็จะบังเกิดขึ้น
ท้าวสักกะประทานโอวาทแก่มหาชนอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จกลับไปยังเทวสถานของพระองค์ แม้พระโพธิสัตว์ก็ครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงบำเพ็ญทางไปสวรรค์ให้บริบูรณ์ พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้ ท้าวสักกะได้เป็นพระอนุรุทธ นางสุชาดาได้เป็นมารดาพระราหุล ส่วนพระราชาที่ท้าวสักกะประทาน คือเราตถาคตนี้แล