ตำนาน : พระสุธน-มโนราห์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งชื่อว่า "ปัญจาลนคร" ปกครองโดยกษัตริย์ผู้ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมทรงพระนามว่า "อาทิตยวงศ์" พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า "จันทาเทวี" ซึ่งต่อมาได้ประสูติพระโอรสพระนามว่า "พระสุธน" เมื่อพระกุมารเจริญวัยขึ้นก็มีความเฉลียวฉลาดและพระรูปโฉมงดงามยากที่จะหาราชกุมารในแว่นแคว้นอื่นเทียบเคียงได้ ครั้งนั้นมีพญานาคราชตนหนึ่งมีนามว่า "ท้าวชมพูจิต" มีฤทธิ์อำนาจมากสามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักรใดก็ได้ พญานาคราชเห็นพระเจ้าอาทิตย์วงศ์เป็นพระราชาที่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมจึงบันดาลให้เมืองปัญจาลนครอุดมสมบรณ์มีฝนตกต้องตามฤดูกาล หากแต่เมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับปัญจาลนครคือ เมือง นครมหาปัญจาละซึ่งปกครองโดยพระราชาที่ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมพระนามว่า "พระเจ้านันทราช" และจากการที่ทรงปกครองด้วยการกดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฏร์นี้เองจึงทำให้อาณาจักรของพระองค์ ประสบกับความแห้งแล้งข้าวยากหมากแพง เพื่อหนีจากความยากเย็นแสนเข็ญนี้บรรดาประชาราษฏร์จึงพากันอพยพไปอาศัยอยู่ในเมืองปัญจาลนคร
พระเจ้านันทราชมีจิตริษยาพระเจ้าอาทิตยวงศ์และในขณะเดียวกันก็แค้นเคืองท้าวชมพูจิตผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีใจลำเอียงในขณะบันดาลให้ฝนฟ้าตกบนพื้นโลก เพื่อล้างแค้นท้าวชมพูจิต พระเจ้านันทราชจึงทรงปรึกษากับปุโรหิตผู้ซึ่งรับอาสาไปหาผู้ที่สามารถฆ่าพญานาคได้ และแล้วก็ได้พราหมณ์เฒ่าผู้ซึ่งมีมนต์วิเศษสูงกว่าพญานาคราช หลังจากได้รับทราบพระประสงค์ของพระราชาแล้ว พราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังสระใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของพญานาคราชแล้วเป่ามนต์ลงในสระใหญ่ยังผลให้น้ำปั่นป่วน และเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสระ ในขณะประกอบพิธีอยู่นั้นพราหมณ์ต้องเข้าไปในป่าเพื่อ หารากไม้มาทำเป็นเชือกไว้จับพญานาคราช ด้วยอำนาจแห่งมนต์วิเศษของพราหมณ์ ท้าวชมพูจิตเกิดความรุ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผาจึงต้องขึ้นจากสระมา แล้วแปลงกายเป็นพราหมณ์หนุ่มเพราะรู้ตัวว่าอันตรายได้เข้ามาใกล้ตนแล้ว แม้ตัวเองจะมีฤทธิ์เดชแต่ก็หาต้านทานพราหมณ์เฒ่าได้ไม่ ดังนั้นจึงคิดหาทางทำลายพิธีของพราหมณ์ผู้มีจิตคิดกำจัดตน
ในขณะเดินไปมาอยู่ในป่า ท้าวชมพูจิตในร่างของพราหมณ์หนุ่มก็พบกับพรานป่าผู้หนึ่งชื่อพรานบุญกำลังออกป่าล่าสัตว์อยู่พอดีจึงเข้าไปทักทายและถามถึงบ้านเมืองของพรานผู้นั้น พรานป่าบอกว่าเขาเป็นชาวเมืองปัญจาลนครซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากเพราะได้รับความอนุเคราะห์จากพญานาคราช หากมีใครคิดจะทำอันตรายแก่พญานาคราชพรานป่าสาบานว่าเขาจะฆ่าบุคคลผู้นั้นเสียโดยไม่รีรอ ท้าวชมพูจิตดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น จึงแสดงตนเป็นพญานาคราชตนนั้น และเล่าเรื่องภัยอันใหญ่หลวงให้พรานฟัง เพื่อทำลายพิธีของพราหมณ์เฒ่าเสีย พรานบุญจึงยิงพราหมณ์เฒ่าตายด้วยลูกธนู พญานาคราชดีใจมากและขอบคุณพรานบุญที่ได้ช่วยเหลือเขาไว้ แล้วก็ชวนพรานบุญไปเที่ยวชมนครใต้พิภพของเขา พญานาคราชสัญญาว่าจะช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่พรานบุญ ร้องขอแล้วก็มอบสิ่งมีค่าให้พรานบุญไปมากมาย พรานบุญจึงอำลาพญานาคราชและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายแต่ก็ยังชอบล่าสัตว์อยู่เหมือนเดิม
วันหนึ่งในขณะที่เดินทางเข้าไปป่าลึก ได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่งชื่อ กัสสปะ ผู้ซึ่งเล่าเรื่องกินรีให้เขาฟัง โดยปกติหมู่กินรีจากเขาไกรลาศจะบินมาลงเล่นน้ำในสระโบกขรณีทุกๆ ๗ วัน เมื่อพรานบุญเห็นความงามของกินรีก็คิดจะจับนางกินรีสักนางหนึ่งไปถวายพระสุธนเพื่อเป็นของขวัญจากป่า แต่พระฤาษีก็บอกเขาว่าไม่มีหนทางจะจับนางได้นอกจากจะได้บ่วงบาศก์ของพญานาคราชท้าวชมพูจิตเท่านั้น เพราะนางกินรีสามารถบินได้เร็ว พรานบุญจึงเดินทางไปพบท้าวชมพูจิตเพื่อขอยืมบ่วงบาศก์ ความจริงแล้วพญานาคราชไม่ต้องการให้พรานบุญขอยืมบ่วงบาศก์เพราะจะเป็นบาปแก่ตน แต่เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตตนไว้ให้พ้นภัยจากพราหมณ์เฒ่า และได้ทราบจากการใช้มนต์วิเศษของตนตรวจสอบดูก็พบว่านางกินรีที่ชื่อว่ามโนห์ราและพระสุธนเป็นเนื้อคู่กัน พญานาคราชจึงยอมมอบให้ไป หลังจากได้บ่วงบาศก์จากท้าวชมพูจิตมาแล้ว พรานบุญก็สามารถจับมโนราห์ซึ่งเป็นธิดาองค์หนึ่งในบรรดาธิดาทั้ง ๗ คนของท้าวปทุมราชได้ (ท้าวปทุมราชเป็นพระราชาปกครองเขาไกรลาศ) นางมโนหราห์ซึ่งเป็นน้องสุดท้องไม่สามารถหนีบ่วงบาศก์ที่พรานบุญเหวี่ยงมาคล้องได้ พรานบุญนำนางไปยังปัญจาลนครและถวายพระสุธน ทันทีที่ทั้งคู่พบกันก็มีจิตรักใคร่ด้วยเคยเป็นคู่บุญบารมี(บุพเพสันนิวาส)กันมาแต่ปางก่อน ทั้งพระราชาและพระราชินีเองก็มีความรักเอ็นดูนางมโนราห์ เพราะนางมีพระสิริโฉมงดงามและมีการอบรมอย่างขัตติยะนารี จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสอย่างเอิกเกริกให้ทั้งสองพระองค์ ส่วนพรานบุญเองก็ได้รับรางวัลอย่างงามเช่นกัน
ฝ่ายปุโรหิตโกรธนางมโนห์ราเพราะเขาเองต้องการให้บุตรสาวของตนอภิเษกสมรสกับพระสุธน แต่ว่าตอนนี้มโนราห์ได้ทำให้ความฝันของเขาสลายเสียแล้วจึงคอยโอกาสที่จะได้แก้แค้นนาง และแล้วก็แอบไปคบคิดวางแผนกับเจ้าเมืองปัจจันตนครให้ยกทัพมาตีเมืองของตน และเพื่อขับไล่ผู้รุกราน ปุโรหิตจึงทูลเสนอให้พระสุธนยกกองทัพออกปกป้องพระนคร ด้วยวิธีนี้เขาก็จะได้มีโอกาสดีกำจัดมโนราห์ออกไปเสียให้พ้นทาง คืนวันหนึ่งพระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสุบินว่ามียักษ์ตนหนึ่ง เข้ามาในพระราชวังและพยายามจะควักเอาดวงพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงสะดุ้งตื่นจากบรรทม ปุโรหิตเจ้าเล่ห์จึงได้โอกาสงามที่จะกำจัดมโนราห์ออกไปเสียให้พ้นทางของบุตรสาวตนเอง เขาจึงทำนายว่าข้าศึกจะเข้ามาในพระราชวังและประหารพระองค์เสีย ประชาชนจะพากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าและเมืองหลวงก็จะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น พระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสดับดังนั้นก็ตกพระทัยจึงทรงรับสั่งให้หาทางแก้ไขโดยด่วน ปุโรหิตจึงกราบทูลว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทดวงชะตาบ้านเมืองไม่ดีจะต้องใช้สัตว์สองเท้าและสี่เท้ามาทำพิธีสังเวยบูชายัญเพื่อ สะเดาะเคราะห์ บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัยพระเจ้าข้า"
ในขณะเดียวกันนั้นเองคนสนิทของปุโรหิตก็เข้ามากราบทูลลวงพระราชาว่าทัพหลวงที่พระสุธนยกไปถูกข้าศึกตีพ่ายแพ้แล้ว เพื่อเป็นการปัดเป่าลางร้ายปุโรหิตจึงกราบทูลว่าถ้าจะให้พิธีมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้นจำเป็นต้องใช้สัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งนกเช่นนางมโนราห์ก็จะเป็นการบูชายัญที่ดีเยี่ยม พระราชาและพระราชินีพยายามชักชวนให้ปุโรหิตเปลี่ยนไปใช้สัตว์อื่นแทนที่จะใช้มโนราห์แต่เขาก็ยังยืนกรานเช่นเดิม ทั้งสองพระองค์รู้สึกสงสารมโนราห์เป็นอย่างยิ่ง และทรงคาดเดาไม่ถูกว่าพระโอรสจะรู้สึกเช่นไรเมื่อกลับจากทัพแล้วไม่พบภรรยาสุดที่รักของตน ในพิธีพระราชาทรงให้ก่อไฟตามที่ปุโรหิตเสนอ แล้วให้ทหารไปทูลเชิญนางมโนราห์มาเข้าพิธีบูชายัญ นางมโนราห์ผู้น่าสงสารได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญถึงพระบิดาพระมารดาของนาง และพระสุธนสามีของนาง บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ในขณะนั้นเองนางมโนราห์ได้สติและเกิดความคิดที่จะหนี จากการถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมนี้ ดังนั้นนางจึงทูลขอพระราชาขอให้ได้รำถวายเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนางเป็นกินรีผู้ซึ่งรักการร่ายรำ หลังจากที่พระราชาทรงอนุญาตแล้วนางจึงขอปีกและหางมาสวมใส่แล้วนางก็ออกร่ายรำด้วยท่วงท่าอันงดงามท่ามกลาง ฝูงชนอันเนืองแน่น ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเฝ้าดูการร่ายรำอันงดงามอยู่นั้นเอง นางมโนห์ราก็ได้โอกาสหนีโดยถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและบ่ายหน้าไปยังภูเขาไกรลาศท่ามกลางความตกตะลึงของฝูงชนนั้นเอง
หลังจากชนะศึกแล้วพระสุธนก็ยกทัพกลับพระนคร อนิจจา! แต่ก็ต้องมาพบว่าภรรยาสุดที่รักของพระองค์ไม่ได้อยู่ในพระนครอีกต่อไปแล้ว พระองค์มีความเศร้าโศก และทุกข์ทรมานมากยิ่งนัก และหลังจากพระองค์สืบทราบความจริงแล้ว ก็สั่งให้ประหารชีวิตปุโรหิตชั่วนั้นเสียในข้อหาทรยศ แล้วก็ทูลลาพระบิดาและพระมารดาออกตามหานางมโนราห์ แม้ว่าทั้งสองพระองค์จะพยายามทัดทานประการใดก็ไม่เป็นผล พระสุธนยืนกรานที่จะเสด็จไปเพราะตนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่่โดยปราศจากนางมโนราห์ได้ พระสุธนให้พรานบุญนำทางไปจนถึงสระโบกขรณี และได้เข้าไปนมัสการพระฤาษีกัสปะ พระฤาษีทูลให้พระองค์ทราบว่า นางมโนราห์ได้แวะมาหาตนก่อนและได้สั่งไว้ว่าหากพระองค์เดินทางออกตามหานางก็ให้ล้มเลิกเสีย เพราะว่าหนทางลำบากมากและอันตรายมาก แต่พระสุธนก็ยืนกรานที่จะตามเมียรักไป แล้วพระฤาษีก็มอบผ้ากัมพลกับแหวนที่มโนราห์ฝากคืนให้พระสุธนไป ตามที่นางมโนราห์ขอร้องไว้ เมื่อได้เห็นของสองสิ่งนั้นพระสุธนก็โศกเศร้าเสียพระทัยถึงกับร่ำไห้ออกมา พระฤาษีรู้สึกสงสารพระสุธนและก็บอกพระองค์ว่านี้เป็นผลบุญกรรมแห่งอดีตชาติ(พระรถเสนกับพระนางเมรี)จึงทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกัน แล้วก็มอบผลยาวิเศษให้พร้อมกับชี้ทางให้กับพระสุธนไปตามหามโนราห์
พระสุธนออกเดินทางเพียงลำพังโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของพรานบุญ ผ่านป่าใหญ่ทึบซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะผ่านไปได้ ซึ่งมีผลไม้มากมายซึ่งล้วนแล้วแต่มีพิษ ด้วยความช่วยเหลือของลูกลิง พระสุธนก็จะเสวยผลไม้ที่ลูกลิงกินได้เท่านั้นจึงปลอดภัย เมื่อมาถึงป่าหวายซึ่งไม่สามารถจะผ่านไปได้เพราะล้วนแต่มีหนามพิษ พระสุธนจึงใช้ผ้ากัมพลห่มแล้วนอนนิ่งๆ ขณะนั้นนกหัสดีลิงค์เข้าใจว่าพระสุธนเป็นอาหารจึงคาบพระองค์ไปไว้ในรังบนยอดไม้ก่อนที่จะบ่ายหน้าไปหาอาหารเพิ่มอีก พระสุธนได้โอกาสหนีแต่ก็หวั่นพระทัยว่าจะมีอะไรรออยู่เบื้องหน้าอีก หลังจากเดินทางมาพักหนึ่งก็ไม่สามารถจะไปต่อได้อีกเพราะมีภูเขายนต์สองลูกเคลื่อนเข้ากระทบกันอยู่ตลอดเวลาโดย ไม่เปิดช่องว่างให้พระองค์ข้ามไปอีกทางหนึ่งได้ แต่หลังจากร่ายมนต์ที่พระฤาษีให้พระองค์มา แล้วก็สามารถข้ามไปได้โดยง่าย จากนั้นพระองค์ก็เดินทางมาถึงอีกป่าหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยพืชและสัตว์มีพิษ พระองค์จึงใช้ยาผงวิเศษชโลมกาย เมื่อผ่านป่าพิษแล้วก็มาพบที่อยู่ของนกยักษ์ พระองค์จึงได้แอบอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและรอเวลาค่ำ คืนนั้นนกผัวเมียคู่หนึ่งคุยกันถึงเรื่องการได้รับเชิญให้ไปร่วมพิธีล้างกลิ่นสาบมนุษย์ให้กับนางมโนราห์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น โดยพิธีนี้จัดให้มีขึ้นหลังจากมโนราห์กลับมาถึงบ้านเมืองครบ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน หลังจากได้ยินนกทั้งคู่สนทนากัน พระสุธนก็ได้ปีนขึ้นไปในรังนกและซ่อนตัวอยู่ในขนนกตัวหนึ่งโดยรอเวลาให้นกไปยังภูเขาไกรลาศ ครั้นนกมาถึงสวนอุทยานก็เกาะบนต้นไม้ พระสุธนจึงเร้นกายออกจากขนนกแล้วซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ พระองค์เห็นเหล่านางกินรีกำลังนำน้ำจากสระอโนดาตเพื่อไปสรงสนานให้กับนางมโนราห์ จึงแอบเอาแหวนใส่ลงในหม้อน้ำ ในขณะสรงน้ำนางมโนราห์ได้เห็นแหวนก็จำได้ นางก็รู้ทันทีว่าพระสุธนสามีของนางได้ติดตามมาถึงเขาไกรลาศนี้แล้ว นางมีความยินดียิ่งนัก จึงได้ออกตามหาพระองค์ ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้พบกัน มโนราห์ได้พาพระสุธนเข้ามายังปราสาทของนาง ท้าวปทุมราชและพระมเหสีทรงทราบข่าวและทรงเห็นใจที่พระสุธนที่มีความรักนางมโนราห์อย่างมาก มิฉะนั้นก็คงจะไม่ดั้นด้นเดินทางมาไกลท่ามกลางอันตรายนานับประการ พระองค์คิดว่าเจ้าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องมีความเป็นอัจฉริยะและมีความสามารถเป็นพิเศษแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ต้องทดสอบความรักที่พระสุธนที่มีต่อธิดาของพระองค์ก่อน
ครั้นถึงวันทดสอบท้าวปทุมราชรับสั่งให้นางกินรีพี่น้องทั้ง ๗ ซึ่งมีรูปร่างสิริโฉมงดงามและคล้ายคลึงกันมากออกร่ายรำให้พระสุธนหาตัวนางมโนราห์ พระสุธนเองรู้สึกหนักใจมากเพราะทั้งหมดดูคล้ายคลึงกันมาก เพื่อให้ความรักของพระองค์สมหวัง พระอินทร์จึงลงมาช่วยโดยการกระซิบบอกว่าถ้านางใดมีแมลงวันทองบินมาจับที่ใบหน้านางนั้นคือพระชายาของพระองค์ พระสุธนยินดียิ่งนักและมองเห็นแมลงวันสีทองเกาะอยู่บนหน้าของมโนราห์ จึงรีบดึงพระกรของนางมาทันที พระราชาและทุกๆ คนต่างก็มีความยินดียิ่งนักที่ได้เห็นทั้งคู่สวมกอดกัน พิธีอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่จึงจัดให้ทั้งสองพระองค์อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามที่มาบางแห่งก็กล่าวว่า พระสุธนจำนางมโนราห์ได้ก็เพราะพระองค์เห็นแหวนในนิ้วมือของนาง และไม่ได้กล่าวถึงพระอินทร์มาช่วยแต่อย่างใดเลย แต่จะอย่างไรก็ตามทั้งสองพระองค์ก็ได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันไปนาน
หลังจากพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระสุธนก็ทูลขอพระราชานุญาตจากท้าวปทุมราช ให้พระองค์และนางมโนราห์กลับไปเยี่ยมบ้านเมืองและบิดามารดาของพระองค์บ้าง ท้าวปทุมราชทรงอนุญาตและร่วมเสด็จไปยังเมืองปัญจาลนครด้วย ท้าวปทุมราชได้พบกับพระบิดาของพระสุธน โดยกษัตริย์ทั้งสองทรงแลกเปลี่ยนของขวัญและร่วมเป็นพระสหายกันตั้งแต่บัดนั้น หลังจากประทับอยู่ในพระราชวัง ๗ วันแล้ว ท้าวปทุมราชได้ลาธิดาของพระองค์และทุก ๆ คน แล้วก็เดินทางกลับพระนครของพระองค์ ภายหลังพระสุธนได้ขึ้นครองราชย์สมบัติแทนพระบิดา โดยพระองค์ได้ปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมและใช้ชีวิตร่วมกับนางมโนราห์อย่างมีความสุข จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์
*****************************
สันนิษฐานกันว่า :
๑. เมืองปัญจาลนคร อยู่ภาคใต้ของประเทศไทยแถวๆจังหวัดชุมพร
ส่วนเมืองนครมหาปัญจาละก็เช่นกัน คือ อยู่แถวๆจังหวัดนครศรีธรรมราช
๒. เขาไกรลาศ และป่าหิมพานต์ที่อยู่ของกินนรและกินรี ก็คือ ภูเขาหิมาลัย
๓. พระสุธนนั้นในอดีตชาติก็คือเจ้าชายรถเสน ส่วนนางมโนราห์ก็คือพระนางเมรีในอดีตชาตินั้นเอง(ศึกษาเพิ่มเติมจากเรื่อง พระรถเมรี หรือ นางสิบสอง)