พากุลชาดก
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสำราญพระอิริยาบถอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระเทวทัตเป็นเหตุ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สุนขทาส วจนํ เป็นต้น ความว่า
วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายได้นั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า พระเทวทัตทำความเพียรตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ก็ไม่สามารถที่จะฆ่าพระพุทธองค์ได้ มาบัดนี้พระเทวทัตนั้นก็ถึงความพินาศฉิบหายไปเอง สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงสดับการสนทนาของพระภิกษุทั้งหลายด้วยทิพพโสตญาณแล้ว จึงเสด็จมาประทับ ณ ธรรมสภา แล้วตรัสถามถึงเรื่องที่พระภิกษุทั้งหลายสนทนา ครั้นทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า พระเทวทัตทำความเพียรตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเรา แต่ก็ไม่สามารถที่จะฆ่าได้ ต้องถึงความพินาศฉิบหายไปเอง เฉพาะในชาตินี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติที่ผ่านมาเธอก็ได้เป็นเช่นนี้มาแล้ว พระภิกษุทั้งหลายสนใจจะฟังเรื่องนั้นจึงอาราธนาให้ทรงเล่าให้ฟัง จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า ในกาลเป็นอดีตที่ล่วงมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พรหมทัต ทรงครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี ครั้งนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อว่าโภควุฒิ ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในทิศตะวันออกแห่งเมืองพาราณสี เธอมีทรัพย์สมบัติประมาณ ๗ โกฏิ และมีบริวารมากมาย แต่ไร้บุตร ฝ่ายบิดาของเศรษฐีนั้นตายไปแล้วเกิดเป็นพระอินทร์อยู่ในภพดาวดึงส์ ขณะนั้น โภควุฒิเศรษฐีมีอายุได้ ๔๐ ปี ได้กลายเป็นคนยากจนลง วันหนึ่ง บิดาที่เป็นพระอินทร์ได้รำพึงขึ้นว่า เศรษฐีบุตรของเราที่อยู่ในมนุษยโลกเป็นอย่างไรหนอ บุตรของเรานี้จะดำรงวงศ์ตระกูลไว้ไม่ได้ ตระกูลของเราจะเสื่อมสูญเสีย เราจะต้องปลูกหน่อตระกูลของเราขึ้นให้สืบต่อประเวณีเชื้อสายต่อไป เมื่อพิจารณาเลือกหาผู้ที่มีบุญญาธิการ ก็ได้เห็นพระโพธิสัตว์ซึ่งกำลังจะสิ้นอายุสังขารจุติอยู่แล้ว จึงไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ แล้วเชิญว่า ขอท่านจงได้ไปเกิดในครรภ์ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐีเถิด พระโพธิสัตว์รับคำ แล้วลงไปถือปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐี ในเวลากึ่งราตรีที่พระโพธิสัตว์ปฏิสนธินั้น ภรรยาของโภควุฒิได้ฝันว่า มีต้นจำปาต้นหนึ่ง ประดิษฐานเอารากหยั่งลงในอ่างทอง ๒ ใบ ตั้งเรียงกันอยู่ในท่ามกลางเรือน เมื่อกาลผ่านไปได้ ๑๐ อ่างทองใบที่หนึ่งก็แตกทำลาย ส่วนอ่างทองใบที่สอง เมื่อกาลเวลาผ่านไปได้ ๑๕ ปี ก็แตกทำลายอีก แต่ต้นจำปานั้นกลับพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ แล้ววกกลับมาประดิษฐานอยู่ ณ ท่ามกลางพระนคร แล้วแตกกิ่งก้านสาขาสวยงามยิ่งนัก นางตื่นมาตอนเช้าจึงไปยังสำนักของพราหมณ์ผู้ทำนายความฝัน แล้วเล่าความฝันนั้นให้ฟัง พลางถามว่า ความฝันนั้นจะมีเหตุร้ายหรือดีประการใด พราหมณ์ผู้ทำนายความฝันพิจารณาแล้วจึงทำนายว่า ท่านจะได้บุตรที่มีบุญญาธิการมาก แต่เมื่อบุตรนั้นอายุได้ ๑๐ ปี มารดาจักถึงความตาย ต่อมาเมื่อบุตรนั้นอายุได้ ๑๕ ปี บิดาก็จักตาย แต่ต่อไปภายหน้า บุตรของท่านจักได้ครองราชย์สมบัติเป็นอิสรภาพในเมืองพาราณสีนี้ ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐีได้ฟังคำทำนายแล้ว มีความโสมนัสยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงลาพราหมณ์ผู้ทำนายฝัน กลับมาเล่าเรื่องที่พราหมณ์ทำนายให้สามีฟังทั้งหมด พอถ้วนทศมาส นางก็คลอดบุตรเป็นชายสีผิวพรรณดุจทองคำธรรมชาติ จึงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า พาหุลกุมาร เมื่อพาหุลกุมารอายุได้ ๑๐ มารดาก็ตาย แล้วขึ้นไปเกิดในวิมานทองในดาวดึงสเทวพิภพ เมื่อพาหุลกุมารอายุได้ ๑๕ ปี เศรษฐีผู้เป็นบิดาก็เกิดพยาธิป่วยไข้ได้รับทุกขเวทนา เพราะพยาธิบีบคั้น จึงเรียกบุตรนั้นเข้ามาใกล้แล้วสั่งว่า ถ้าพ่อตายแล้ว เจ้าอย่ารีบเผาซากศพของบิดาเสียทีเดียวเลย แต่เจ้าจงนำซากศพของพ่อไปนอนหงายไว้ในป่าช้า แล้วตั้งอ่างน้ำไว้ในที่ใกล้ซากศพนั้น เพราะพ่อตั้งใจจะให้เนื้อในร่างกายเป็นทานแก่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อสัตว์ทั้งปวงกินเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแล้ว จงเอากระโหลกศีรษะของพ่อมาเก็บรักษาไว้ ถ้าเจ้าจะไถนาหว่านข้าวในที่ใด เจ้าจงเอาเชือกผูกกระโหลกศีรษะของพ่อลากไปที่นั้น ถ้ากระโหลกศีรษะของพ่อมิได้ติดข้องอยู่ในที่นั้น เจ้าจงอย่าทำไร่ไถนาในที่นั้นเลย ถ้ากระโหลกศีรษะของพ่อติดข้องอยู่ที่ใด เจ้าจงไถนาหว่านข้าวลงในนั้นเถิด ครั้นสั่งบุตรแล้ว ก็ตายไปเกิดในดาวดึงส์เทวพิภพเหมือนกัน ฝ่ายพาหุลกุมาร ครั้นบิดาตายแล้วก็ทำตามคำสั่งของบิดาทุกประการ แล้วนำกระโหลกศีรษะของบิดามาเก็บรักษาไว้ เมื่อมีอายุได้ ๑๖ ปีจึงคิดจะไปแสวงหาสัตว์สักตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน เขาเที่ยวหาสัตว์ที่จะมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน จึงเดินมาถึงเรือนหญิงหม้ายคนหนึ่ง ฝ่ายหญิงหม้ายนั้นเลี้ยงนางสุนัขไว้ตัวหนึ่ง นางสุนัขนั้นตกลูกออกมา ๓ ตัว ตัวหนึ่งสีขาว ตัวหนึ่งสีเหลือง ตัวหนึ่งสีแดง พาหุลกุมารนั้นไปถึงเรือนหญิงหม้าย ได้เห็นลูกสุนัขเหล่านั้น จึงขึ้นไปหาหญิงหม้ายแล้วพูดว่า กระผมเป็นคนกำพร้าไม่มีญาติ มารดาก็ตายแล้ว กระผมเป็นคนตัวคนเดียวจริงๆ ไม่มีใครเป็นเพื่อนเลย คุณแม่จงขายลูกสุนัขให้กับกระผมสักตัวหนึ่งเถิด กระผมจะซื้อไว้เป็นเพื่อน หญิงหม้ายได้ฟังแล้วมีความสงสารจึงพูดว่า เราไม่ขายเอามูลค่า เจ้าต้องการตัวไหนก็จับเอาไปตามความปรารถนาเถิด แต่เจ้าต้องรับแม่เป็นแม่บุญธรรม พาหุลกุมารรับคำแล้วก็จับเอาลูกสุนัขตัวสีขาว แล้วลาหญิงหม้ายพาลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้ที่เรือนของตน เมื่อถึงฤดูฝน พาหุลกุมารได้ใช้เชือกผูกกระโหลกศีรษะของพ่อลากไปในที่นั้นๆ กระโหลกศีรษะของพ่อได้ไปติดข้องอยู่ในที่ดอนสูงขึ้นไปถึง ๑๐๐ วา เขาจึงนำกระโหลกศีรษะของพ่อขึ้นหิ้งบูชา แล้วลงมือแผ้วถางที่นาในที่นั้น เมื่อเวลาผ่านไป ๓ วัน ภพของท้าวสักกะได้เกิดร้อนขึ้น ท้าวสักกะจึงพิจารณาจนรู้ว่าหน่อเนื้อพุทธางกูรกำลังลำบาก ต้องการผู้ช่วยเหลือ จึงทรงพาบริวารเสด็จลงมาช่วยแผ้วถางจนเสร็จ แล้วเขียนป้ายปักไว้ว่า ท้าวสักกะลงมาช่วยแผ้วถาง แล้วพาบริวารเสด็จกลับไปยังภพของพระองค์ พาหุลกุมารโพธิสัตว์ซึ่งมีสุนัขเป็นเพื่อน ได้ทำนาจนได้ผลผลิตมากมายด้วยอานุภาพแห่งกระโหลกศีรษะของพ่อ ต่อมา ปรารถนาจะรักษาศีลอุโบสถ จึงชำระตนให้สะอาดแล้วสมาทานศีลอุโบสถทั้งแปดข้อ ต่อมา ได้พิจารณาเห็นศีลของตนบริสุทธิ์ ก็เกิดปีติโสมนัสยิ่งนัก แต่เมื่อมองไปรอบข้างก็เกิดความปริวิตกว่า เราควรจะหาภรรยามาไว้เพื่อช่วยเหลือกันในยามป่วยไข้ ด้วยอานุภาพแห่งศีลและความปรารถนาของพาหุลกุมารโพธิสัตว์ ภพของท้าวสักกะได้เกิดร้อนขึ้นท้าวสักกะพิจารณาอยู่ ก็รู้ว่า หน่อเนื้อพุทธางกูรกำลังจะหาภรรยามาไว้เพื่อช่วยเหลือกันในยามป่วยไข้ จึงส่งเทพธิดาตนหนึ่งซึ่งจวนจะสิ้นอายุในสวรรค์ ไปบังเกิดในครรภ์ของพระมเหสีของพระยาสัตตกุฎราชผู้ครองเมืองสัตตกุฎนคร ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองพาราณสีนั้น พระยาสัตตกุฏราชนั้นมีพระมเหสี ๗ พระองค์ แต่ละพระองค์มีพระธิดาพระองค์ละ ๑ พระองค์รวมพระธิดาทั้งหมดจึงมี ๗ พระองค์ด้วยกัน แต่ฝ่ายนางเทพธิดาที่จุติจากเทวโลกนั้นได้มาเกิดในครรภ์ของพระมเหสีคนที่หนึ่ง ครั้นพออายุได้ ๑๖ ปี มีรูปทรงสัณฐานผิวพรรณงดงามอุดมอย่างยิ่ง เมื่อท้าวสักกเทวราชส่องทิพเนตรเห็นแล้ว จึงเสด็จลงจากเทวโลก เสด็จไปยังสำนักของพระยาสัตตกุฏราช ประดิษฐานอยู่ในอากาศ แล้วแสดงรูปสิริให้เห็นปรากฎ ตรัสว่า เรามาหาท่านเพื่อจะขอธิดาท่านหนึ่ง ท่านจงให้ธิดาคนที่เกิดจากพระมเหสีที่หนึ่งแก่เราเถิด เราจะพาเอาไปให้แก่มาณพหน่อเนื้อพุทธางกูรผู้มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่ เพราะต่อไปมาณพหน่อเนื้อพุทธางกูรนั้น จะได้ครองราชย์สมบัติในเมืองพาราณสีนี้ จักได้เป็นพระราชามีบุญญาธิการล้ำเลิศ ธิดาของท่านนั้นก็จักได้เป็นอัครมเหสี พระยาสัตตกุฏราชได้ฟังนั้น ก็ประคองอัญชลีมีพระหฤทัยโสมนัสกราบทูลว่า ข้าแต่ท้าวมฆวานเทวราช ขอพระองค์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า จงพาธิดาของข้าพเจ้าไปตามพระประสงค์ที่ได้ทรงเห็นชอบ แล้วจงทรงประกอบให้เป็นคุณประโยชน์นั้นเถิด ท้าวสักกเทวราชได้รับอนุญาตแล้ว ก็เข้าอุ้มราชธิดานั้นเหาะมาทางอากาศ พามาถึงที่นาของพากุลกุมารโพธิสัตว์แล้ว จึงเนรมิตไข่ฟองหนึ่งใหญ่ประมาณเท่าผลฟัก มีสัณฐานภายในอ่อนนุ่ม ภายในของไข่นั้นบริบูรณ์ด้วยอาภรณ์เครื่องประดับแลชิ้นโภชนาหารต่างๆ อันเป็นทิพย์ เมื่อราชธิดานั้นปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา ฝ่ายพาหุลกุมารได้ยินเสียงลูกสุนัขเห่าอยู่มิได้หยุด นึกประหลาดใจยิ่งนัก จึงลงมาจากเรือนกระท่อมเดินไปดู ก็เห็นไข่วางอยู่ที่นั้น จึงหยิบไข่นั้นมาเก็บไว้บนเรือนกระท่อม ส่วนธิดาที่อยู่ในไข่นั้น เมื่อพากุลกุมารไปแล้วก็ออกจากไข่จึงทำการชำระล้างถูเก็บกวาด ทำเรือนกระท่อมเป็นอันดี แล้วจัดตกแต่งโภชนาหารพร้อมทั้งคาวหวานตั้งไว้แล้ว ก็กลับเข้าไปอยู่ในไข่ตามเดิม ฝ่ายพากุลกุมารทำนาอยู่พอเย็นลงจึงเดินกลับมาในกระท่อมก็เห็นโภชนาหารที่นางจัดเตรียมวางไว้ จึกนึกว่า ใครหนอจัดแจงโภชนาหารไว้ให้เรา ครั้นรุ่งเช้า พากุลกุมารตื่นขึ้นมาบ้วนปากล้างหน้าแล้ว เปิดปรตูไว้แล้วก็ไปทำนาในที่นาของตน ฝ่ายราชธิดาก็ออกจากไข่เห็นว่าพากุลกุมารไปนาแล้วจึงทำการเก็บกวาดและตกแต่งโภชนาหารดุจกาลก่อน ครั้นรู้ว่าพากุลกุมารออกไปซ่อนภายนอก นางจึงคิดว่า ต่อไปภายหน้า เราก็คงเป็นภรรยาของพากุลกุมารโดยแท้ พากุลกุมารคงจักได้เป็นพระราชาครองเมืองพาราณสี ตัวเราก็จัดได้เป็นอัครมเหสีคู่ราชาภิเษก นางคิดแล้วก็มิได้กลั้บเข้าไปอยู่ในฟองไข่ของตนอีกเลย พากุลกุมารเป็นนางนั่งอยู่เป็นปกติแล้ว จึงขึ้นไปปิดประตูเรือนแล้วถามว่า เจ้ามีชื่อว่าอะไร มาแต่ไหน เป็นหญิงมนุษย์หรือเป็นยักษิณี หรือเป็นเทพธิดาองค์ใด เหตุไฉนจึงได้มาอยู่ในที่นี้ เทพธิดาตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นธิดาของพระยาสัตตกุฎราช ท้าวสหัสนัยผู้มีอำนาจพาข้าพเจ้ามาเพื่อจะปฏิบัติท่าน ท้าวสักกเทวราชได้ให้ไข่ฟองนี้ไว้ เพื่อสำหรับได้ซ่อนเร้นหนีภัย พากุลกุมารได้ฟังแล้ว จึงหยิบเปลือกไข่มาดูแล้วส่งให้นาง นางรับเปลือกไข่แล้วก็เอาไปเก็บไว้ ตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองก็อยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยา และราชธิดานั้นก็ได้ชื่อว่านางสุขุมาอัณฑา เพราะเหตุที่นางได้อาศัยอยู่ในฟองไข่ ฝ่ายชาวบ้านที่คุ้นเคยกับพากุลกุมารมาแต่ก่อนพากันไปเที่ยวไปมาอยู่ในที่นั้น เห็นสองสามีภรรยาอยู่กินด้วยกัน ก็พูดกันว่า พากุลกุมารเป็นคนทุคคตะ ยากจนหาที่พึ่งมิได้กลับมาได้เมียรูปร่างดุจนางเทพธิดาในสวรรค์ พากุลกุมารนี่มีบุญเป็นอัศจรรย์หนอ จนเลื่องลืมไปตอลดตำบน ฝ่ายกำนันขุนส่วยผู้เก็บส่วยในบ้านตำบลนั้น เมื่อได้ฟังจากลูกบ้านของตน จึงออกจากบ้านตรงไปยังที่นาของพากุลกุมาร ครั้นเป็นนางรูปทรงสัณฐานงามอุดม และประกอบไปด้วยลักษณะสิริวิลาส มีผิวพรรณอันงามบริสุทธิ์สะอาด ดุจดังนางเทพอัปสรในสวรรค์ บริบูรณ์ไปด้วยลีลาจารวัตรอนดีจึงคิดว่า เราจะเข้าเฝ้าพระราชาในเมืองพาราณสี แล้วกราบทูลให้ทรงทราบ ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีได้ทรงสดับคำที่กำนันกราบทูลแล้ว ปรารถนาจะได้นางมาเป็นพระมเหสี จึงโปรดให้ส่งคำสั่งไปถึงพากุลกุมารนั้นว่า ให้พากุลกุมารหาไก่ตัวหนึ่งมาชนกับไก่หลวง ถ้าไก่ของพากุลกุมารแพ้ไก่หลวง เขาจะต้องนำเอาภรรยาของตนมาแทนเงินค่าเดิมพันของไก่ที่แพ้ พระเจ้าพาราณสีได้ทรงสดับอุบายแล้วจึงตรัสว่า พากุลกุมาร ท่านจงหาไก่ตัวหนึ่งไปชนกับไก่หลวงของพระราชาในวันพรุ่งนี้ พากุลกุมารได้ฟังแล้วจึงเข้าไปบอกกับภรรยาว่า พระราชามีพระบัญชาให้ราชบุรุษมาบอกให้พี่หาไก่ไปชนกับไก่ของพระราชาในวันพรุ่งนี้ นางสุขุมาอัณฑาจึงล้วงไปในกระเปาะฟองไข่ที่ท้าวสักกะประทานให้ แล้วจับไก่ตัวหนึ่งมาส่งให้ พร้อมกล่าวว่า ข้าแต่สามี ท่านจงนำไก่ตัวนี้ไปชนกับไก่พระราชา และให้พรว่า ขอให้ท่านมีชัยชนะเถิด พากุลกุมารรับไก่แล้วมีจิตชื่นชมโสมนัส จึงอุ้มไก่เข้าไปเฝ้าพระราชา พระเจ้าพาราณสีมีพระราชดำรัสว่า เราพากันไปที่หน้าพระลานท้องสนามหลวงเถิด ท่านจงไปนำไก่ที่จะชนมาอำมาตย์ได้ไปนำไก่ชนที่มีขนาดใหญ่มาตัวหนึ่ง ไก่นั้นสูงใหญ่กว่าไก่ของพากุลกุมาร ครั้นปล่อยไก่นั้น พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า ถ้าหากไก่ของท่านแพ้ไก่ของเรา ท่านจงให้ภรรยาของท่านแก่เรา แล้วมีรับสั่งให้ปล่อยไก่ทั้งสองลงในสังเวียนที่ชนไก่ พากุลกุมารปล่อยไก่ของตนลงไป ฝ่ายไก่ของพระราชาก็ถูกปล่อยไก่ลงไปพร้อมกัน ฝ่ายไก่ทิพย์นั้นขันและปรบปีกยืนอยู่ ฝ่ายไก่หลวงมิได้ปรบปีกและมิได้ขันเลย ขณะไก่ทั้งสองต่างเข้าจิกกันพัลวันไปมานั้น ไก่ทิพย์ได้ลงเดือยแทงลูกตาทั้งสองของไก่หลวง แล้วตีเตะเอาแข้งและปีกทั้งสองข้างของไก่หลวงหักทันที ไก่หลวงก็พ่ายแพ้ไก่ของพากุลกุมารไป ครั้นไก่มีชัยแล้ว พากุลกุมารจึงทูลลาเพื่อที่จะไปบอแก่ภรรยา พระเจ้าพาราณสีนั้นปรึกษากับกำนันว่า เราจะคิดอุบายอย่างไรอีก กำนันทูลว่า ให้พากุลกุมารหาม้าตัวหนึ่งมาวิ่งแข่งกับม้าของหลวงในวันพรุ่งนี้ พระราชาได้ทรงสดับเช่นนั้นแล้ว เห็นชอบด้วยจึงรับสั่งให้ราชบุรุษผู้หนึ่งไปบอกพากุลกุมาร พากุลกุมารจึงบอกแก่นางสุขุมาอัณฑาผู้เป็นภรรยา นางสุขุมาอัณฑาจึงล้วงลงไปในกระเปาะฟองไข่ที่ท้าวสักกะประทานให้ แล้วจับเอาม้าตัวหนึ่ง ซึ่งมีรูปงามออกมาแล้วมอบให้แก่พากุลกุมาร พากุลกุมารก็ขึ้นขี่อาชาตรงไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสี ฝ่ายอำมาตย์รับพระราชโองการแล้วตรงไปยังโรงม้าหลวงเลือกได้ตัวหนึ่ง พระเจ้าพารารสีมีรับสั่งให้สารถีขึ้นขี่อาชาตัวนั้น แล้วให้พากุลกุมารขึ้นขี่ม้าที่นำมาวิ่งแข่งขัน ฝ่ายม้าทิพย์มีกำลังว่องไวรวดเร็วยิ่งนักก็เป็นฝ่ายชนะอีก พากุลกุมารจึงทูลลาพระราชากลับเพื่อไปบอกแก่ภรรยาของตน ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีก็ปรึกษากับกำนันอีกว่า จะออกอุบายอย่างไรดี กำนันได้ทูลว่า ให้บอกพากุลกุมารให้หาช้างมาชนกับช้างหลวงในวันพรุ่งนี้ พระราชาเห็นชอบแล้ว จึงรับสั่งให้พากุลกุมารหาช้างมาชนกับช้างหลวง ฝ่ายพากุลกุมารได้ฟังแล้วจึงบอกแก่ภรรยา ภรรยาจึงไปยังที่เป็นที่เก็บฟองไข่ล้วงลงไปในกระเปาะฟองไข่ที่ท้าวสักกะประทานให้ แล้วนำเอาคชสารตัวหนึ่งออกมาจากกระเปาะไข่ คชสารนั้นมีอวัยวะทั้งปวงอันขาวล้วน มีงาทั้งสองอันงอนงามดูชดช้อย มีเล็บเท้าทั้งหมดแดงดุจน้ำครั่ง ประกอบด้วยกำลังอันแกล้วกล้าสามารถ นางมอบให้แก่พระโพธิสัตว์แล้วพระโพธิสัตว์ก็จับงากุญชรชาตินำไปเฝ้าพระราชาเพื่อที่จะชนช้างกับช้างหลวง ฝ่ายพระราชาให้นำเอาช้างเชือกหนึ่งมาซึ่งตัวใหญ่สูงกว่าของช้างพระโพธิสัตว์ แล้วให้นำช้างทั้งสองไปชนกันที่สนามหน้าพระลานหลวง ปล่อยช้างทั้งสองออกไปสู้กัน ช้างทิพย์นั้นมีร่างกายเล็กกว่ แต่มีกำลังอันแกล้วกล้าสามารถเป็นฝ่ายชนะอีก พระโพธิสัตว์จึงทูลลากลับเพื่อบอกแก่ภรรยา ฝ่ายพระราชาออกอุบายกับกำนันอีก กำนันจึงทูลว่า ควรให้ต้มน้ำร้อนให้เดือดพล่านใส่ลงในอ่างแล้วบังคับให้พากุลกุมารเอามือจุ่มลงในอ่างน้ำร้อนนั้น ถ้าพากุลกุมารขัดรับสั่งไม่ทำตาม ก็จะต้องรับพระราชอาชญาอันสาหัส พระเจ้าพาราณสีเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้ไปบอกพากุลกุมารมาเฝ้าแล้วให้พากุลกุมารทำตามอย่างที่บอก พากุลกุมารได้รับฟังเช่นนั้นแล้วจึงบอกแก่ภรรยา ภรรยาจึงไปยังที่เก็บฟองไข่ ตั้งสัตยาธิษฐานแล้วนำเอาผลหมากผลหนึ่งออกจากฟองไข่ แล้วส่งให้พระโพธิสัตว์พร้อมกล่าวว่า ท่านจงเอาผลหมากนี้ไปเฝ้าพระราชา ถ้าพระราชาทรงบังคับให้ทำกิจการอันใด จงเอาผลหมากนี้เข้าในปากก่อนแล้วจึงกระทำซึ่งกิจการนั้น ท่านอย่าสะดุ้งกลัวภัยแต่อย่างใดเลย พากุลกุมารจึงไปเฝ้าพระราชาแล้วจึงสั่งให้พากุลกุมารนั้นเอามือจุ่มลงไปในอ่างน้ำนั้น ถ้าท่านไม่ทำตามคำเราเราจะให้ลงอาชญาท่านถึงสาหัส พากุลกุมารจึงใส่ผลหมากเข้าไปในปากตั้งสัตยาธิษฐาน เอามือจุ่มลงในอ่างน้ำร้อนนั้น น้ำร้อนนั้นได้กลายเป็นน้ำเย็น เขาลงไปในอ่างอาบน้ำดำเกล้าแล้ว จึงขึ้นจากอ่างมาถวายบังคมพระราชานั่งอยู่ พระเจ้าพาราณสีเห็นแล้วก็มีความประหลาดพระทัยมาก ฝ่ายพากุลกุมารได้ทูลลากลับไปยังที่นาของตน พระเจ้าพาราณสีได้ปรึกษากับกำนันอีกว่า เราจะทำประการอย่างใดดีจึงจะให้สามีภรรยาทั้งสองมันพลัดพรากจากกันได้ กำนันทูลว่า พระองค์ควรให้ตกแต่งภัตตาหารอันหมดจดสะอาดด้วย ควรให้ตกแต่งขาทนียะและโภชนียาหารอันเจือด้วยฟองไข่ แล้วเชิญคฤหบดีทั้งหลายมีเศรษฐีเป็นต้นให้มาบริโภคพร้อมกับกับพากุลกุมาร พากุลกุมารนั้นก็บริโภคขาทนียะและโภชนียาหารอันเจือไปด้วยฟองไข่ เมื่อบริโภคแล้วภรรยาพากุลกุมารก็จักเกิดความเดือดร้อนหนีไป แล้วผัวเมียทั้งสองนั้นก็ต้องพลัดพรากจากกัน พระเจ้าพาราณสีเห็นด้วย จึงให้เชิญอิสระชนทั้งหลายมีเศรษฐีเป็นต้นมาพร้อมกับพากุลกุมาร ฝ่ายพากุลกุมารมิได้รู้ว่าโภชนาหารนั้นเจือไปด้วยฟองไข่ เมื่อบริโภคแล้วนางสุขุมาอัณฑาก็ให้มีกายและจิตอันหวั่นไหวเร่าร้อน ไม่สามารถที่จะนั่งนอนให้เป็นสุขได้ จึงเที่ยวเดินไปเดินมาตลอดที่นา แล้วเรียกสุนัขนั้นให้เข้ามาใกล้ๆ สั่งความให้ไปบอกแก่สามีว่า เรามีหทัยร้อนกระวนกระวายนัก ไม่สามารถที่จะอยู่ในที่นี้ได้ จึงส่งแหวนหัว ๓ วงให้แก่ลูกสุนัขขาว แล้วบอกว่าเราจะขอลาไปบ้านเมืองของเรา ฝ่ายพากุลกุมารบริโภคแล้วก็กลับมายังที่นาของตน เมื่อไม่เห็นนางสุขุมาอัณฑา จึงถามลูกสุนัขขาว ลูกสุนัขขาวนั้นก็บอกความตามที่นางสั่งไว้ แล้วคาบเอาแหวนหัว ๓ วงมาส่งให้แก่พระโพธิสัตว์ ร่ำร้องไห้รำพันพิลาปอยู่อย่างนั้น จนสิ้นกำลังหยั่งลงสู่ความหลับ ครั้นรุ่งเช้าจึงไปหามารดาเลี้ยงผู้ที่ให้ลูกสุนัข พร้อมกับสุนัขสหายของตน แล้วเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เบื้องต้นให้ฟัง แล้วพักในเรือนนั้นคืนหนึ่ง รุ่งเช้าอำลามารดาเลี้ยงจึงเอาแหวน ๓ วงนั้นผูกขอดชายผ้าแล้ว มีสุนัขเป็นเพื่อน ทั้งสองผิดหน้าเฉพาะทิศตะวันตกตรงไป ครั้นถึงแม่น้ำใหญ่ก็พาสุนัขข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน แม่น้ำนั้นใหญ่กว่างประมาณ ๑๐ โยชน์ แต่เป็นแม่น้ำตื้นบางแห่ง บางแห่งก็ลึก เพราะเหตุนี้ แม่น้ำนั้นจึงมีนามว่าอุตตานา เขาข้ามแม่น้ำนั้นอยู่ประมาณสามคืนสามวันจึงถึงฝั่ง ฝ่ายสุนัขนั้นพยายามตามเจ้าของมิได้หยุดยั้งยืนอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ก็มีกายอันเหน็ดเหนื่อยทุพลภาพสิ้นกำลัง พอถึงฝั่งก็มีหทัยอันเหี่ยวแห้งตายอยู่ที่นั้น พระโพธิสัตว์เห็นสุนัขตาย ก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นความโศกไว้ได้ ก็ร้องไห้ ฝ่ายหมู่ญาติทั้งหลายของพากุลกุมารซึ่งตายไปอุบัติบังเกิดในดาวดึงสพิภพนั้นอยู่ เห็นพากุลกุมารจึงลงมาจากเทวโลก เนรมิตรอัตภาพเป็นแรงบินไปสู่สำนักพากุลกุมารกล่าวว่า ท่านจงให้เนื้อสุนัขนั้นเป็นอาหารแก่เราเถิด เราจะชี้บอกทางแก่ท่าน พากุลกุมารก็อนุญาตให้เนื้อสุนัขนั้นเป็นอาหารแก่แร้งไป แล้วพาพระโพธิสัตว์ไปสิ้นระยะทางได้ ๗ โยชน์ จึงกระทำอาการว่าตายอยู่ในทางนั้น เทวบุตรผู้เป็นญาติอีกองค์หนึ่ง จึงลงมาจากเทวโลกเนรมิตกายเป็นกาเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวว่า ท่านให้แร้งที่ตายนั้นแก่เราเถิด เราจะบอกหนทางไปให้แก่ท่าน พระโพธิสัตว์จึงอนุญาตให้เนื้อแร้งนั้นแก่กาไป กาเทวบุตรนั้นก็พาพระโพธิสัตว์ไประยะทาง ๗ โยชน์แล้วก็ทำเป็นตายอยู่ในที่นั้น ท้าวมฆวานสักกเทวราชก็ลงมาจากสวรรค์ เนรมิตกายให้มีรัศมีพร้อมพรายประหนึ่งว่าหิ่งห้อย ไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์ แล้วบอกว่าภรรยาของท่านเขาสั่งไว้ว่า ให้เราบอกทางแก่ท่านไปยังเมืองสัตตกุฏนคร แล้วพาพระโพธิสัตว์ไปอีก ๗ โยชน์ก็ถึงฝั่งสระโบกขรณะสระหนึ่ง ในสระนั้นเต็มไปด้วยดอกประทุมดอกโกมุทและดอกอุบลทั้งหลาย ที่บริเวณสระนั้นประดับไปด้วยต้นไม้ทั้งหลายอันมีดอกและผลต่างๆ กัน ในสระนั้นมีกลิ่นอันหอมฟุ้งด้วยสุคนธชาติ ที่ขอบสระนั้นแวดล้อมไปด้วยต้นอโสกพฤกษ์ทั้งปวง เมื่อท้าวสักกเทวราชพาพระโพธิสัตว์พากุลกุมารไปถึง จึงให้พระโพธิสัตว์เข้าไปอยู่ ณ ตำหนักหลวงนั้น วันรุ่งขึ้นทาสี ๓ คนจะพากันมาตักน้ำในสระนี้ ฝ่ายนางสุขุมาอัณฑาเทวีนั้น เมื่อไปด้วยอานุภาพแห่งเทวดาถึงเมืองสัตตกุฎนครแล้วจึงไปเฝ้าพระราชบิดาและพระราชมารดา ในกาลครั้นนั้น พระเจ้าสัตตกุฏราชเห็นพระราชธิดาจึงถามว่า เจ้าไปอยู่กินกับสามีของเจ้าแล้วเหตุไฉนจึงกลับมาหาบิดาเล่า หรือตัวเจ้ามีทุกข์ร้อนจึงมาหาบิดาในกาลนี้ นางสุขุมาอัณฑาเทวีกราบทู่ลว่า พาหุลกุมารเป็นสามีของหม่อมฉัน บิดามารดาและญาติสักคนหนึ่งก็ไม่มีเลย เป็นผู้อนาถาทำนาเลี้ยงชีพอยู่แต่ผู้เดียว เพราะเป็นเหตุที่ยากจน พระเจ้าพาราณสีผู้มีจิตมีบาปจึงทำการเบียดเบียนประการต่างๆ พระเจ้าสัตตกุฏราชได้ฟังประพฤติเหตุแล้ว จึงมีพระราชดำรัสสั่งทาสี ๓ คนว่า พวกเจ้าจงไปนำเอาน้ำในสระโบกขรณีมาให้ธิดาเรา ทาสีทั้ง ๓ ไปยังสระโบกขรณีตักน้ำในสระนั้นมาแล้ว ฝ่ายพากุลกุมารเห็นพวกทาสี ๓ คนนั้นมาจึงถามว่า ท่านทั้งหลายพามาตักน้ำเพื่อใครกัน จงบอกเราได้ไหม นางทาสีบอกว่า พระสัตบุรุษพระราชธิดานายของเรากลับมา พวกเราตักเพื่อจะให้พระราชธิดานั้นสรงและสนานและสระพระเศียร พากุลกุมารได้ฟังก็มีความโสมนัส เมื่อพระโพธิสัตว์ช่วยยกหม้อจึงนำเอาแหวนใส่ลงในหม้อน้ำแล้ว ทาสีเหล่านั้นก็เอาหม้อน้ำนั้นไป ในขณะที่พระราชธิดาสรงสนานอยู่ แหวนก็ตกลงจากหม้อ พระราชธิดาดูแหวนก็รู้ว่า สามีของเราตามมาถึงแล้ว ครั้นรุ่งขึ้นพระเจ้าสัตตกุฏราชก็อภิเษกชนทั้งสองให้ปกครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์สืบสันติวงศ์ในสัตตกุฏนครนั้น ฝ่ายพากุลกุมารเสวยราชสมบัติได้ ๓ วันก็คิดถึงพระราชสในเมืองพาราณสีขึ้นมา ปรารถนาจะไปดูหน้าพระราชาผู้ลามกนั้นมากในกาลนั้น จึงเข้าเฝ้าเพื่อทูลลา ฝ่ายกำนันคนพาลเห็นพากุลกุมารจึงทูลให้พระเจ้าพาราณสีรีบไปจับพากุลกุมารฆ่าเสีย แล้วเอาเมียมาตั้งเป็นนางอัครมเหสี แต่ด้วยอานุภาพแห่งเสียงสายธนูของพากุลกุมาร พระเจ้าพาราณสีและกำนันก็ตกจากหลังคชสารตายอยู่กับพื้น ในกาลนั้น ชาวนครพาราณสีก็พร้อมใจกันเชื้อเชิญพระโพธิสัตว์และพระราชเทวีให้ขึ้นประทับ ณ หลังคชสารไปยังเมืองพาราณสี ตั้งพิธีราชาภิเษกให้กษัตริย์ทั้งสองครองราชอาณาจักรแล้วถวายพระนามว่า พระเจ้าพากุลราช ท้าวเธอดำรงราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรม แล้วพระราชทานโอวาทสั่งสอนแนะนำและแสดงธรรมเทศนา ทรงสงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ แล้วสร้างโรงทาน ๖ แห่ง ทรงบริจาคพระราชทรัพย์วันละ ๖ แสน พร้อมด้วยพระราชเทวีสุขุมาอัณฑา ครั้นสิ้นพระชนมชีพก็ขึ้นไปเกิดในดาวดึงสภพ สมเด็จพระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า พระเทวทัตนั้นได้พยายามฆ่าพระตถาคต แต่บัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้ในชาติก่อน เธอก็ได้พยายามฆ่าพระตถาคตมาแล้ว