จันทะโครพ
***************
เรื่องย่อ :
“จันทะโครพ”เป็นพระโอรสของ “พระเจ้าพรหมทัต”แห่ง “เมืองจักรพรรดิ” พระองค์เป็นพระราชโอรสที่มีบุญญาธิการมาก และมีรูปงามดั่งเทพบุตร พระบิดาและพระมารดารักและหวงแหนดุจดั่งแก้วตาดวงใจ มีข้าทาสบริวารคอยดูแลปรนนิบัติอย่างสุขสบายและมากมาย และพระองค์ยังเป็นรัชทายาทซึ่งพระองค์จะได้เสวยราชสมบัติต่อจากพระบิดา แต่ตามโบราณราชประเพณีนั้นเจ้าชายองค์ใดที่จะได้ราชสมบัติจะต้องทรงศึกษาศิลปวิทยาจนเชียวชาญเสียก่อน ดังนั้นเมื่อจันทะโครพซึ่งมีพระชันษาได้ ๑๒ ปีแล้ว พระบิดาจึงโปรดให้ไปแสวงหาวิชา ซึ่งพระองค์จะต้องเดินทางไปผจญภัยตามลำพัง โดยจันทะโครพได้เสด็จมุงสู่ป่าหิมพานต์ซึ่งเป็นแหล่งของมุนี ฤาษี โยคี และนักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลายนั้นเอง
จันทะโครพเดินทางรอนแรมไปในป่า พระองค์ต้องลำบากตรากตรำจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด จนเวลาล่วงไปได้สามเดือนก็เสด็จถึงอาศรมฤๅษีองค์หนึ่งชื่อ “พระฤาษีจันทา” พระฤๅษีมีจิตเมตตารับจันทะโครพไว้เป็นศิษย์ จันทะโครพได้เรียนคาถาอาคมตลอดจนเพลงอาวุธจนเจนจบและมีฝีมือยอดเยี่ยมเป็นที่ชื่นชมของพระอาจารย์อย่างมาก
พระฤๅษีเห็นว่าถึงเวลาที่จันทะโครพควรเสด็จกลับบ้านเมือง จึงชุบพระขรรค์และธนูให้จันทะโครพสำหรับใช้ป้องกันตัว และให้นำติดตัวไว้เสมอ แล้วพระฤๅษีได้สั่งสอนพระจันทะโครพต่างๆ เช่น อย่าประมาท อย่าทะนงตัว อย่าลุ่มหลงสตรี และรักษาความสัตย์ไว้ให้มั่นคง อันเนื่องจากพระจันทะโครพมีรูปงามดั่งเทพบุตรยากที่จะหาหญิงในโลกมนุษย์งามเหมาะสมกันได้ พระฤาษีจึงเอาขน “โมรา” (ขนนกยูง) มาเสกให้กลายเป็นหญิงงามอยู่ในผอบทอง แล้วมอบให้จันทะโครพ และสั่งห้ามเปิดผอบระหว่างเดินทางจะเปิดได้เมื่อถึงบ้านเมืองแล้วเท่านั้นไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายแก่จันทะโครพได้
จันทะโครพเอาผอบใส่ห่อผ้าไว้ พระหัตถ์ถือขรรค์ ส่วนธนูสะพายบ่า ออกเดินทางจากป่ากลับสู่บ้านเมืองของตน เมื่อเดินทางมาได้ ๑๕ วัน ทรงเร่าร้อนพระทัยจึงหยิบผอบทองมาดู ทรงลืมคำสั่งพระพระฤๅษีเสียสนิท ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างในจันทะโครพก็เปิดผอบออกมาดู
ทันใดนั้นก็ปรากฏหญิงสาวแสนงามออกมาจากผอบ จันทะโครพทอดพระเนตรเห็นก็หลงรักทันที ทรงหว่านล้อมเล้าโลมและชักจูงนางจนนางยอมตนเป็นชายา แล้วพานางเดินทางต่อไป ยิ่งเดินทางนานเข้าหนทางก็ลำบากขึ้นทุกทีๆแต่จันทะโครพก็พยายามเอาอกเอาใจนางโมราเมียรักทุกอย่าง
เนื่องจากนางโมราไม่เคยลำบากตรากตรำมาก่อน ก็รู้สึกกระหายน้ำ และหมดแรง พระจันทะโครพจนปัญญาที่จะหาน้ำมาให้ดื่มแก้กระหายได้ จึงตัดสินพระทัยใช้พระขรรค์ฟันลงที่พระเพลา(ตัก)ของพระองค์ และทรงรองเลือดให้นางดื่มแทนน้ำ นางโมราจึงกลับมีกำลังวังชาขึ้นมา พระจันทะโครพจึงพานางโมราเดินทางเข้าเขตป่าต่อไป
ในป่าแห่งนี้มีโจรราว ๕๐๐ คนอาศัยอยู่ ตัวนายโจรใจคอดุร้าย มีฝีมือในการรบยิ่งนัก ได้มาพบจันทะโครพและนางโมราเข้า และขู่จันทะโครพให้ยกนางโมราให้ตนเสียโดยดีจึงเกิดการโต้เถียงและต่อสู่กันขึ้น จันทะโครพได้ให้พระขรรค์ไว้กับโมราเพื่อป้องกันตัว ส่วนพระองค์ได้ใช้ธนูยิงสมุนโจรตายหมด แล้วก็เข้าต่อสู้กับหัวหน้าโจรซึ่งทั้งคู่ได้ต่อสู้กันพัลวัน จันทะโครพนั้นมีวิชาและชั้นเชิงการต่อสู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ดีกว่าและกำลังได้เปรียบ จึงร้องขอพระขรรค์จากนางโมราพระชายาให้ส่งพระขรรค์ให้แก่พระองค์
ฝ่ายนางโมราซึ่งมีใจรักนายโจรเข้าแล้ว จึงยื่นด้ามพระขรรค์ที่อยู่ทางด้านนายโจรแต่ส่วนปลายอยู่ที่พระจันทะโครพ นายโจรจึงคว้าพระขรรค์จ้วงแทงพระจันทะโครพสิ้นพระชนม์
นายโจรจึงได้พานางโมราไปเป็นเมีย แต่เมื่อได้เสพสมแล้วก็สิ้นรักนางและเมื่อหวนคิดคำนึงได้ว่า แม้แต่พระสวามีรูปงามและเป็นรัชทายาทซึ่งรักและเสียสละให้กับนางมากมาย นางยังฆ่าได้ลงคอนับประสาอะไรกับโจรป่ารูปร่างอัปลักษณ์เช่นตนนางจะฆ่าไม่ได้ เมื่อคิดดังนั้นแล้วนายโจรก็หลบหนีไป นางโมราจึงถูกละทิ้งอยู่ในป่าตามลำพังไม่รู้ว่าจะเดินทางต่อไปแห่งหนใด
กล่าวถึง “ท้าวสักกะเทวราช”หรือ “พระอินทร์”ขณะนี้พระที่นั่งกัมพลสิลาอาสน์ได้เกิดร้อนลุ่มและแข็งกระด้างขึ้นมา พระอินทร์จึงได้ทอดพระเนตรเห็นจันทะโครพสิ้นพระชนม์เพราะนางโมราใจชั่ว จึงแปลงเป็นเหยี่ยวจิกกินเนื้อย่างมาล่อให้นางโมราเห็นและหิวกระหาย นางโมราซึ่งอดอยากมาหลายวัน จึงวิงวอนขอให้เหยี่ยวแบ่งเนื้อให้ตนบ้าง เหยี่ยวแกล้งเกี้ยวพาราสีนางโมรา ฝ่ายนางโมราก็มารยาทอดไมตรีให้พระอินทร์(เหยี่ยว) พระองค์จึงตรัสประจานนางโมราว่ามีใจแพศยา “เจ้าเป็นหญิงชั่วร้าย แม้ว่าเจ้าจะมีสามีที่ดีแสนดีก็ยังแบ่งใจให้ชายอื่นที่ตนไม่รู้จักมาก่อน เมื่อโจรป่าหนีไปจากเจ้า ตอนนี้เจ้าก็ยังยกกายให้เป็นภรรยาของเหยี่ยวอีกเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งชื้นเนื้อย่างเท่านั้น เจ้าก็พร้อมที่จะสมสู่กับสัตว์เดรัจฉานโดยปราศจากยางอาย”
แล้วทรงสาปนางเป็น “ชะนี” ไม่มีผ้าสวมใส่ หมดความอาย เวลาพระอาทิตย์ทอแสงสีแดง ก็คิดว่าเป็นเลือดของผัว จึงส่งเสียงร้องเรียกผัวๆๆๆ และได้ค่าง(ชะนี)เป็นผัวหากินอยู่ในป่านั้นเอง ทันทีที่สิ้นคำประณามของพระอินทร์ร่างของโมราก็กลายเป็นชะนี พร้อมน้ำตานองหน้าร้องเรียกหา ผัว ผัว ผัว ผัว ฯฯฯฯฯฯ แล้วนางชะนีที่มีหน้าเศร้าก็โดดเข้าป่าหายไป ตั้งแต่นั้นมาชะนีก็จะร้องหาผัวอยู่ตลอดเวลา
เมื่อลงโทษนางโมราแล้ว พระอินทร์ก็เสด็จไปแก้ไขจันทะโครพให้ฟื้นขึ้นมาอีก แล้วก็ได้บอกว่าพระองค์คือพระอินทร์มาช่วยไว้ และทรงตรัสสอนเจ้าชายว่า พระองค์มีกรรมแต่หนหลัง โมราเป็นหญิงชั่วร้ายไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองของพระองค์ หญิงที่เกิดมาเพื่อเป็นภรรยาและเป็นเนื้อคู่แท้ที่จริงของพระองค์นั้นแท้จริงแล้วเป็นธิดาของพญานาคเมืองบาดาล ขอให้พระองค์ให้เดินทางต่อไปทางทิศเหนือแล้วพระองค์ก็จะได้พบกับนางผู้เป็นคู่บุญบารมี เมื่อพระอินทร์ทรงตรัสแล้วก็หายไป
และแล้วเจ้าชายจันทะโครพก็ได้พบเนื้อคู่ในอนาคตของพระองค์มีนามว่า “ นางมุจลินท์ร์” ซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำทอง บิดาและมารดาของนางรักนางดุจดังแก้วตาดวงใจ พญานาคผู้เป็นบิดาได้นำมาไว้ในถ้ำทองบนโลกมนุษย์ โดยให้นางอยู่แต่ในถ้ำท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนา โดยผูกหุ่นพยนต์ให้เป็นพญานาค และยักษ์คอยเฝ้าอารักขาและคอยรับใช้อย่างดี เมื่อจันทะโครพเดินทางไปพบฝูงพญานาคจึงยิงธนูออกไป ลูกธนูกลายเป็น“พญาครุฑ”ทำให้พญานาคหนีไปหมด จันทะโครพดั้นด้นเดินทางจนมาพบถ้ำๆ หนึ่งพบ“ยักษ์พยนต์”ยืนเฝ้าปากถ้ำอยู่และจะจับจันทะโครพกินเป็นอาหาร จันทะโครพจึงยิงธนูออกไป ลูกธนูกลายเป็นไฟไหม้ยักษ์พยนต์จนสิ้นฤทธิ์ จันทะโครพก็สามารถเล็ดลอดเข้าไปในถ้ำจนได้ และได้พบกับนางมุจลินทร์ซึ่งเป็นธิดาของ “ท้าวภุชงค์นาคราช”เกิดกับ “นางกินรี” เมื่อทั้งคู่ได้พบกันก็เกิดความรักใคร่เสน่หาในกันและกันอย่างที่สุด เนื่องด้วยบุพเพสันนิวาส และแล้วนางก็หลงรักพระองค์ แล้วทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันเป็นสามีภรรยาในที่สุด จนกระทั่งนางมุจลินทร์มีครรภ์ แล้วจันทะโครพก็ตัดสินใจเข้าไปขอขมาพญานาคภุชงค์ที่เมืองบาดาล และขออนุญาตพาภรรยาไปเมืองจักรพรรดิของจันทะโครพต่อไป ซึ่งพญานาคภุชงค์ก็ยินยอมและยินดี
ขณะที่ทั้งสองบรรทมหลับอยู่ข้างเนินเขา มีนางยักษ์ม่ายตนหนึ่งชื่อ “สันทมาร” เมื่อเห็นจันทะโครพรูปงามก็ชอบใจ จึงใช้มนต์สะกดจันทะโครพไว้ และจับนางมุจลินทร์ฟาดกับพื้นหวังจะให้ตาย แต่เดชะบุญลูกในครรภ์ของนางช่วยไว้ เพียงแต่นางสลบไปเท่านั้น นางยักษ์คิดว่านางมุจลินทร์ตายจึงขว้างนางทิ้งลงทะเลไป
ส่วนนางยักษ์สันทมารก็แปลงเป็นนางมุจลินทร์แทนและเข้าไปนอนเคียงข้างจันทะโครพ ฝ่ายจันทะโครพทรงสุบินว่านกอินทรีบินมาเฉี่ยวเอาชายาไป ก็ตกพระทัยตื่นขึ้นมากลางดึก ได้กลิ่นกายและเห็นจริตกิริยาของนางผิดแปลงไปก็นึกสงสัย แต่ก็ไม่สามารถหาสิ่งใดมาพิสูจน์ได้จึงพานางยักษ์แปลงเดินทางประมาณเดือนครึ่งก็ถึงเมืองจักรพรรดิ
พระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นพระบิดาดีพระทัยมาก จึงให้โหรมาทำนายพระโอรสว่าจะครองบ้านเมืองได้ร่มเย็นเพียงใด และนางมุจลินทร์จะประสูติพระโอรสหรือพระธิดา โหรรู้ว่าเป็นยักษ์จึงกราบทูลไปตามจริง นางยักษ์แปลงโกรธแค้นยิ่งนักจึงกลายร่างเป็นยักษ์ดังเดิม จันทะโครพจึงตีนางยักษ์ด้วยธนู นางยักษ์ร่ายมนตร์เป็นเมฆหมอกแล้วหลอบหนีไป จันทะโครพจึงออกเดินทางติดตามหานางมุจลินทร์ตัวจริงต่อไป
ฝ่ายนางมุจลินทร์เมื่อตกทะเลก็มีเทวดานิมิตองค์เป็นสวะมารองรับร่างของนางไว้ แล้วพาลอยมาถึงปล่องทางลงสู่เมืองบาดาล ท้าวภุชงค์เห็นพระธิดามุจลินทร์ก็จำได้ นางเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระบิดาฟัง ต่อมานางก็ประสูติพระโอรสออกมาชื่อ “จันทะวงศ์” มีธนูวิเศษเป็นอาวุธ และมี “พรหมินทร์”กับ “พิณสุวรรณ”เป็นพี่เลี้ยง
ฝ่ายจันทะโครพยังคงออกเดินทางหานางมุจลินทร์ ได้มาพบกับจันทะวงศ์โดยบังเอิญในป่า แล้วบอกว่าตนเองเป็นพ่อ จันทะวงศ์ไม่เชื่อ จึงเกิดการต่อสู่กันขึ้น จันทะวงศ์ยิงธนูออกไปเป็นข้าวตอกดอกไม้ ส่วนจันทะโครพยิงธนูออกไปเป็นขนมต่างๆ จันทะวงศ์จึงกลับไปเล่าเรื่องให้พระอัยกาฟัง แล้วพากันขึ้นมาดูที่เกิดเหตุ ทำให้นางมุจลินทร์จึงได้พบกับจันทะโครพอีกครั้ง
เนื่องจากมีธรรมเนียมเมืองบาดาล พญานาคต้องพ่นพิษทั่วพระนครอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ จันทะโครพจึงต้องทรงพาชายาและโอรสเสด็จกลับบ้านเมืองของตนพร้อมขบวนเสด็จเป็นจำนวนมาก
เมื่อถึงเชิงเข้าแห่งหนึ่งเทวดาได้สะกดขบวนเสด็จให้หลับ แล้วเหาะพาจันทะวงศ์มายัง “เมืองโรมรัน”เพื่อเป็นคู่ครองของ “นางมัจฉา”ธิดาของ “พญายักษ์สหัสรังสี” ทั้งสองต่างมีความรักซึ่งกันและกัน ฝ่ายท้าวสหัสรังสีรู้เรื่องจึงเฆี่ยนพระธิดาจนสลบ แล้วให้นำจันทะวงศ์ไปประหาร จันทะวงศ์ทรงระลึกถึงมนตร์ชำแรกพื้นดินที่พระอัยกาสอนไว้และแทรกแผ่นดินหนีไปอยู่ริมทะเล
ฝ่าย “ยักษ์ดึงษกำม์” ซึ่งจันทะโครพเคยไว้ชีวิตในครั้งก่อน ได้มาอุ้มจันทะวงศ์ แล้วพาไปติดตามหาพระบิดามารดาจนทั้งหมดได้พบกัน แล้วจันทะวงศ์ก็ขออนุญาตออกติดตามหานางมัจฉาชายา ส่วนนางมัจฉาก็ออกตามหาจันทะวงศ์เช่นเดียวกัน เทวดาเกิดความสงสารจึงแปลงกายให้นางมัจฉาเป็นพราหมณ์ชื่อ “ศรีสวัสดิ์” พร้อมบอกว่าเมื่อได้นอนร่วมหมอนกับสามีก็จะกลายร่างเป็นหญิงตามเดิมและชี้ทางให้นางมัจฉาเดินไปทางทิศตะวันออก และได้ช่วย “ท้าวกาละสูร”เจ้าเมืองกาละสูรให้พ้นภัยพิบัติ ทำให้ท้าวท้าวกาละสูรหลงรักพราหมณ์และคอยติดตามให้กลับไปอยู่ครองเมืองด้วยกัน แต่พราหมณ์ศรีสวัสดิ์ก็ไม่กลับไปด้วย ท้าวกาละสูรจึงบอกมนตร์วิเศษให้พราหมณ์ก่อนสิ้นใจตาย
พราหมณ์ศรีสวัสดิ์จึงจัดขบวนแห่พระศพกลับเมืองและได้พบกับจันทะวงศ์ จันทะวงศ์ได้ขอติดตามพราหมณ์ศรีสวัสดิ์ไปยังเมืองด้วยเนื่องจากสงสัยว่าเป็นชายาของตนพร้อมกับวางแผนฆ่าพราหมณ์ศรีสวัสดิ์เพื่อให้มนตร์เสื่อม
เมื่อได้โอกาสจันทะวงศ์จึงฟันเศียรของพราหมณ์ศรีสวัสดิ์ขาดกระเด็น แล้วตนเองก็สิ้นสติ แต่ด้วยอำนาจเวทมนตร์ของเทวดา พราหมณ์ศรีสวัสดิ์จึงไม่ตาย และร่ายมนตร์ของท้าวกาละสูร เศียรจึงกลับติดดังเดิม พราหมณ์แปลงเข้าใจว่าพระสวามีสิ้นรักตนเสียแล้ว จึงร้องไห้คร่ำครวญเข้าไปประคองจันทะวงศ์ และทรงแก้ไขจันทะวงศ์จนฟื้น ทั้งสององค์เห็นว่าต่างฝ่ายต่างยังไม่ตายก็กอดกันแน่น พราหมณ์แปลงจึงเล่าเรื่องแต่หนหลังให้จันทะวงศ์ฟัง จันทะวงศ์ทรงประคองชายาให้บรรทมร่วมพระเขนยของพระองค์ ทันใดนั้นร่างพราหมณ์แปลงกลับเป็นนางมัจฉาตามเดิม ทั้งสองได้ปกครองบ้านเมืองอย่างร่มเย็นเป็นสุขต่อจากพระบิดาจันทะโครพและพระมารดามุจลินทร์ต่อไปจวบจนกระทั่งสิ้นอายุขัย
……………………