บทพิสูจน์ความประเสริฐและยิ่งใหญ่
พระพุทธเจ้า : ผู้ประเสริฐสูงสุดในโลกุตตรภูมิ(เหนือสังสารวัฏ)
กับ
พระอิศวร : ผู้ประเสริฐสูงสุดในโลกียะภูมิ(ในสังสารวัฏ)
ดังปรากฏมีใน
ตำนาน เพลงสาธุการ
มีเรื่องกล่าวเป็นตำนานปรัมปราของบรรดาครูบาอาจารย์ทางวิชาดนตรีว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ในระยะปฐมโพธิกาล กิติศัพท์เกียรติคุณของพระพุทธเจ้าก็เลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วทิศานุทิศทั้งในมนุษย์ สวรรค์ และพรหมโลก วันหนึ่งพวกเทพบุตรเทพธิดาพากันลงมาจากสรวงสวรรค์ มาเฝ้าสดับพระธรรมเทศนาในที่เฉพาะพระพักตร์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเกิดหมดทวยเทพในสวรรค์ ครั้นถึงเวลาพระอิศวรเป็นเจ้าเสด็จออกมาประชุมเทวสภาก็ไม่มีเทวดาเข้ามาเฝ้าอย่างเคย พระอิศวรตรัสถามพระนนที พระนนทีจึงกราบทูลให้ทราบ พระอิศวรเป็นเจ้าก็กริ้วทวยเทพเป็นอันมาก และกริ้วเอาพระพุทธเจ้าด้วย พระอิศวรจึงตรัสชวนพระอุมาผู้เป็นมเหสี และพระนนที พร้อมด้วยเทพบริวารเสด็จลงมาเมืองมนุษย์ ทรงเห็นเทพบุตร เทพธิดาต่างนั่งสดับพระธรรมเทศนาสงบอยู่ ไม่แสดงอาการเอาใจใส่ต่อพระองค์ผู้เป็นเจ้านายของตนเอาเสียเลย พระอิศวรทรงนิรมิตนาฏยสภาขึ้นที่ใกล้พระวิหาร ซึ่งเป็นธรรมสภาที่พระพุทธเจ้ากำลังประธานธรรมเทศนาอยู่ แล้วองค์พระอิศวรเอง พร้อมด้วยพระอุมาและพระนนทีกับเทพบุตรอัปสรบริวารที่ตามเสด็จมา ก็บรรเลง
ดนตรีมีหลายหลบ เต้นนาณฑพระบำสวรรค์
จับคู่อยู่พัลวัล สลับกันแลตระการ
จอมผาอุมาเจ้า ออกหน้าเหล่าบริวาร
รำรับขับประสาน นนทิการตีตะโพน
ซัดแขนแอ่นอุระ ป๊ะเท่งป๊ะจังหวะโทน
เยื้องกรายส่ายเอวโอน อ่อนแขนโยนยะยรรยง
จอมเขารำเล้าโลม อุมาโน้มน้อมอรองค์
อายเอียงเมียงม่ายทรง เบือนพักตร์บงองค์ภูบาล
แซ่เสียงจำเรียงร้อง สนั่นห้องก้องกังวาน
เฉื่อยฉ่ำสำเนียงหวาน ซร้องประสานกับดนตรี
จอมทรงองค์อมร เอี่ยมอาภรณ์สำอางศรี
งามสภาอ่ารูจี แจ่มรัศมีมณีฉัน
อำนาจพระศาสดา เป็นมหาอัศจรรย์
เทวฤทธิ์รังสฤษฎิ์สรรค์ อันมหันต์มโหฬาร
ไม่กลบลบพระฤทธิ์ พระมุนิศวราจารย์
รังสีที่บรรดาล ไม่แผ่สร่านถึงสภา
ทิพย์สำเนียงเสียงสนั่น ก็ไม่ลั่นตลอดมา
รูปร่างสำอางตา มิได้ปรากฏแก่ใคร
ต่างนั่งฟังสัทธรรม ไม่ระส่ำระสายใจ
สำราญบานฤทัย ด้วยเลื่อมใสศรัทธาธาร ฯ
พระอิศวรเป็นเจ้าทรงเห็นดังนั้น ก็ประหลาดพระทัย จึงเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ประดิษฐานพระองค์อยู่ตรงพระพักตร์พระพุทธเจ้า แล้วตรัสต่อว่าท้าทายพระพุทธเจ้าให้มาประลองฤทธิ์กันด้วยวิธีซ่อนหา
ครั้งที่ 1 พระอิศวรจึงนิรมิตพระองค์เป็นธุลีละอองปลิวไปซ่อนพระองค์อยู่ในเมล็ดรัตนซึ่งประดับอยู่บนยอดพรหมพิมานพระพุทธเจ้าก็ทรงทราบด้วยพระญาณ แล้วบันดาลด้วยพระพุทธานุภาพ ให้พุทธบริษัทที่ประชุมอยู่ในธรรมสภานั้นมองเห็นด้วย พระศิวะพูดขอโอกาสซ่อนเป็นครั้งที่ 2 พระพุทธเจ้าก็ทรงประธานด้วยพุทธานุภาพ
ครั้งที่ 2 พระอิศวรเสด็จไปซ่อนพระองค์อยู่ใต้บาดาล พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบด้วยพระญาณ แล้วบันดาลด้วยพระพุทธานุภาพ ให้พุทธบริษัทที่ประชุมอยู่ในธรรมสภานั้นมองเห็นด้วยเหมือนกัน
ครั้งที่ 3 เสด็จลงไปซ่อนอยู่ในยมโลก พระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบด้วยพระญาณ แล้วบันดาลด้วยพระพุทธานุภาพ ให้พุทธบริษัทที่ประชุดอยู่ในธรรมสภานั้นมองเห็นด้วย
ครั้นถึงคราวพระพุทธเจ้าซ่อนบ้าง ก็ทรงนิรมิตพระกายเล็กเป็นละอองปรมาณู ปลิวไปติดอยู่ ณ ปลายเกศาของพระอิศวร พระอิศวรก็ทรงเปล่งรัศมีฉายแสงสว่างทั่วทุกทิศ ทรงค้นหาทุกหนทุกแห่งจนเหนื่อยอ่อนพระวรกาย ก็ไม่พบพระพุทธองค์ พระอิศวรจึงจำเป็นต้องทรงจำนนประกาศพระวาจายอมแพ้แก่พระพุทธเจ้า
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า พระอิศวรยอมแพ้แล้ว ก็ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีออกมาจากที่ซ่อนให้ทราบว่า พระองค์ทรงซ่อนพระวรกายอยู่ ณ กลุ่มพระเกศาเหนือพระเศียรของพระอิศวรนั่นเอง แม้พระอิศวรจะพ่ายแพ้แล้ว แต่ก็ยังทรงแสดงทิฐิมานะอยู่พระพุทธเจ้าสังเกตเห็นว่า พระอิศวรยังทรงกระด้างกระเดื่องอยู่ เพื่อจะทรงทรมานให้คลายทิฐิมานะจึงยังไม่ยอมเสด็จลง คงประทับอยู่เหนือพระเศียรเกล้าของพระอิศวรต่อไป พระอิศวรเชิญเสด็จให้ลง ก็ไม่เสด็จลง
จึงมีพระพุทธดำรัสว่าถ้ายอมแพ้จริงให้พระอิศวรนำเอาดุริยางคดนตรีมาบรรเลงถวายอัญเชิญเสด็จ พระอิศวรจำเป็นต้องสั่งให้จัดหาปัญจดุริยางคดนตรีมาขับประโคมถวายเป็นพุทธบูชา ด้วยเพลงที่เรียกว่า สาธุการ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จลง ด้วยเหตุนี้ จึงถือเป็นธรรมเนียมประเพณีสืบมาว่า ถ้าจะบรรเลงเพลงดนตรีสำหรับเคารพบูชา หรือนอบน้อมนมัสการ ต้องบรรเลงเพลง สาธุการ ซึ่งถือเป็นเพลงครูสำหรับใช้ในการบรรเลงบูชาสิ่งที่เคารพนับถือ เสมือนเราถวายธูปเทียนดอกไม้บูชาเพื่อที่เคารพด้วยความเลื่อมใส
ต่อมามีการสร้างพระปางนี้ บ้างก็เรียกนารายณ์ทรงโค หรือผกาพรหม นั้น หากเป็นรูปพระพุทธเจ้ายืนประทับบนเศียรเทวดาขี่วัว นั่นคือปางที่พระพุทธเจ้าทรงทรมานทิฏฐิของพระอิศวรหรือของพระศิวะเจ้านั่นเอง เพราะพระอิศวรทรงมีพญาโคนนทิเป็นพาหนะนั้นเอง การที่เรียกนารายณ์ทรงโคไม่ถูกเพราะพระนารายณ์มีพาหนะเป็นครุฑ และพระพรหมก็ไม่ถูกอีกเพราะพระพรหมมีสี่พักตร์ ดังนั้นควรทำความเข้าใจว่าเป็นปางพระอิศวรแพ้พระพุทธเจ้านั้นเอง