นิทานสอนใจ : ลำบากเพราะโง่และใฝ่ชั่ว
(นิทานเรื่องนี้ เป็นคติสอนใจประชาชนในประเทศหนึ่งบนดาวดวงหนึ่ง ในจักรวาลนี้)
มีประเทศหนึ่งที่อยู่บนดาวดวงหนึ่งในจักรวาลนี้ ซึ่งเทวดาฝ่ายธรรมะได้ลงมาสร้างบ้านเมืองให้ไว้ และก็ได้ส่งพระโพธิสัตว์ลงมาเกิดเพื่อเป็นประมุขและทำการปกครองอาณาประชาราษฎร์อย่างอยู่เย็นเป็นสุขสืบมา จึงเป็นที่อิจฉาของหมู่มารและอสูรต่างๆซึ่งเป็นฝ่ายอธรรม จึงได้ส่งพญามารและเสนามารทั้งหลายลงมาเกิดในประเทศนั้นเพื่ออยากจะเสวยสุขและทำลายพวกธรรมะให้อยู่ภายใต้อำนาจและทำให้สาบสูญไปในที่สุด
ความพยายามของเหล่ามารหรืออธรรมที่ได้เพียรพยายามทำลายพระโพธิสัตว์และเหล่าธรรมะทั้งหลาย ด้วยวิธีการอันสกปรกและชั่วช้าสามานย์ต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถกระทำได้สำเร็จเพราะมีเทพศักดิ์สิทธิ์ต่างๆคอยปกปักรักษาอยู่นั้นเอง พญามารและเหล่าเสนามารทั้งหลาย จึงใช้วิธีล้างสมองต่างนาๆและทุมซื้อเสียงอย่างไม่อั้น ซึ่งได้ผลเพราะเหล่าธรรมะหลายคนนั้นเมื่อถูกกิเลสตัณหาครอบงำ และถูกล้างสมองเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ตกเป็นทาสของหมู่มารเหล่าอธรรมมากขึ้นๆทุกวัน แต่ก็ยังมีฝ่ายธรรมะบางท่านที่เข้มแข็งทางภูมิปัญญา และมีเทพศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนคอยช่วยเหลืออยู่จึงยังกระทำการเปลี่ยนระบบการปกครองที่หมู่มารอยากได้ขึ้นมาแทนไม่สำเร็จแต่อย่างใด
แต่เมื่อความพยายามทำลายและทำร้ายเหล่าธรรมะ และพระโพธิสัตว์ต่างๆ ไม่สำเร็จ จึงใช้วิธีการชั่วช้าสามานย์หนักขึ้นๆ จนถึงขนาดคิดทำลายเทพเจ้าที่อยู่เบื้องบนที่คอยช่วยเหลือเหล่าธรรมะและพระโพธิสัตว์อยู่นั้นเอง เช่น เทพ พรหม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยกระทำพิธีทางไสยศาสตร์และมนต์ดำใส่ท่านเทพ พรหม และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น โดยนำโลหิต(เลือดมนุษย์) และสัตว์เดรัจฉานทั้ง๒ ขา และ๔ ขาต่างๆ มาทำการเทใส่และสาดใส่ท่านมหาเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ทั้งในสถานที่ราชการต่างๆ และตามสถานที่ทางศาสนา ตลอดจนสถานที่ที่มีรูปปั้นของท่านในที่ต่างๆซึ่งกระทำการทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง อย่างเหิมเกริมไม่มีสำนึกละอายและเกรงกลัวบาปกรรมแต่อย่างใด และคิดว่าไม่มีใครกล้าทำร้ายพวกมารได้เพราะพวกมารมีเยอะและมีอำนาจในบ้านเมืองนั้นเอง
แต่ก็ยังกระทำการไม่สำเร็จทำให้พญามารและเสนามารกลับกำเริบเสิบสาน ได้จ้างหมอดูหมอเดาฟันธงฟันหักฟันดำต่างๆ มาทำร้ายท่าน ด้วยวิธีการอันชั่วช้าสามานย์ต่างๆนาๆ อย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรมและหายนะต่างๆที่จะตามมาแต่อย่างใด ทั้งที่เตือนและให้โอกาสกลับตัวกลับใจแล้วแต่ยิ่งกระทำการชั่วช้าสามานย์มากขึ้นๆ ซึ่งมหาเทพคือ พญาครุฑที่ท่านปกปักรักษาพระมหากษัตริย์และเหล่าธรรมะในประเทศนั้นอย่างดีและตลอดมา จึงทำให้มารทั้งหลายทำอะไรไม่ได้มากนัก พวกมารเลยเหิมเกริมทำการปั้นและสร้างองค์ ราหูซึ่งเป็นอสูรแห่งการมัวเมาลุ่มหลงขึ้นขี่ พญาครุฑ จะได้ไม่สามารถช่วยเหลือพระมหากษัตริย์และเหล่าธรรมะได้ ซึ่งพญาครุฑนั้นท่านเป็นพาหนะของพระวิษณุหรือพระนารายณ์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งในสามของโลกและจักรวาล(พระพรหม พระพิษณุ และพระอิศวร) โดยหลอกพวกโง่ๆที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจให้หลงเชื่อและหลงบูชาวัตถุมงคล(จริงๆแล้วเป็นวัตถุอัปมงคลซะมากกว่า ว่า พระราหูทรงครุฑ ซึ่งจริงๆแล้วมีแต่พระนารายณ์ทรงครุฑหรือนารายณ์ทรงสุบรรณเท่านั้น) มีการสร้างภาพว่ามีพระสงฆ์ที่เป็นเกจิอาจารย์มาช่วยปลุกเสกต่างๆนาๆ และทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้มาบูชาเป็นสาวกและเข้าลัทธิมารนี้ให้มากขึ้นๆ จะได้ควบคุมและสั่งการให้ทำอะไรก็ได้ ทั้งๆที่สั่งให้เผาบ้านเมืองของตัวเองก็ยังทำได้ลงคอ ช่างเนรคุณและหนักแผ่นดินโดยแท้
และแล้วเบื้องบนต้องทำการสั่งสอนให้รู้สำนึก จึงได้มีเทวโองการให้พญานาคพ่นน้ำ(แม่คงคา)ให้ท่วมมนุษย์ผู้งี่เง่าเหล่านั้นเป็นการสั่งสอน ทั้งที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน และสถานที่บางแห่งอยู่บนภูเขา และที่ราบสูงก็ตามก็ยังท่วมได้ เพราะพญานาคท่านทำได้ และก็น่าแปลกประหลาดมากเพราะไม่รู้น้ำมาจากไหนมากมายขนาดนั้น และผุดขึ้นมาจากใต้ดินได้อย่างไร? น่าอัศจรรย์แท้ แต่ก็ยังไม่รู้สำนึกกลับสรรเสริญเยินยอ และบูชากันอย่างลุ่มหลงมัวเมามากขึ้นๆ
เหล่าเทพทั้งหลาย เช่น พระพายหรือพระพายุ(ลม) พระแม่ธรณี(ดิน) พระอัคคี(ไฟ) พญานาค พญามังกร พญาครุฑ ฯลฯ ต่างก็โกรธและไม่พอใจที่ชาวมนุษย์ผู้งี่เง่าและอกตัญญู ไม่สำนึกในบุญคุณ กลับสรรเสริญ และนับถือสักการะหมู่มารให้เหิมเกริมมากขึ้นๆ
และแล้วความหายนะและความยากลำบากของเหล่ามนุษย์หน้าโง่ก็เกิดขึ้นจนได้ และกำลังจะได้รับบทเรียนและการสั่งสอนให้สำนึกด้วยวิธีการที่หนักขึ้นๆและสาสมอีกหลายอย่าง
(จนกว่าจะสำนึกและทำการยอมรับผิด ทำการขอโทษขอขมาอย่างเป็นทางการและประกาศให้ชาวโลกมนุษย์และสวรรค์ได้รับรู้และให้อภัย และหรือมีพระโพธิสัตว์ผู้มีบุญบารมีใหญ่มาช่วยเหลือและปลดปล่อยมนุษย์ผู้งี่เง่าเหล่านั้น)
***************************************
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การอยู่ร่วมกับคนพาล(พญามารและเหล่าเสนามาร)เป็นทุกข์และเป็นหายนะอย่างยิ่ง