พุทธานุภาพ : น้ำท่วมพญามารและเสนามาร
****************
ย้อนไปเมื่อสมัยพุทธกาล ในคราวที่พระมหาโพธิสัตว์ได้เกิดเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเสด็จออก มหาภิเนษกรมณ์เพื่อ การบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการที่จะนำพา เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้นออกจากความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดใน สังสารวัฎอย่างมิรู้จบรู้สิ้นนี้นั้นเอง
ซึ่งนับว่าเป็นพระมหาเมตตาและพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่และประเสริฐอย่างหาที่สุดไม่ได้ของพระโพธิสัตว์ แต่การนี้ พญาวสวัตตีมารผู้เป็นใหญ่และครอบงำเหล่าเวไนยสัตว์ให้อยู่ในอำนาจ ให้ลุ่มหลงมัวเมาและเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากพระมหาสัตว์กระทำสำเร็จ อำนาจของตัวเองก็ไม่สามารถครอบงำและควบคุมเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายได้ ดังนั้นในวันที่พระโพธิสัตว์ได้กระทำการนั่งที่โพธิบัลลังก์ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ในคืนก่อนตรัสรู้ ซึ่งพระองค์ได้มีพระมหาปณิธานอันแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว ในการที่จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณให้ได้โดยจะไม่ยอมลุกไปไหนอย่างเด็ดขาดจนกว่าว่าจะ ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ถึงแม้ว่าร่างกายและเลือดเนื้อจะเหือดแห้งและตายไปก็ตาม พลันก็เกิดเหตุการณ์หวั่นไหวและสะเทือนไปไปทั้ง๓ ภพ เทพ และพรหมทั้งหลายต่างแซ่สร้องสาธุการ
แต่พญามารกลับสะดุ้ง กระวนกระวาย และยอมให้พระโพธิสัตว์ทำการตร้สรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด จำต้องกระทำการขัดขวาง จึงจัดทัพเสนามารมาอย่างมากมายมืดฟ้ามัวดิน พระยามารเองได้แปลงกายเป็นพญามารที่มีมือถึง๒๐๐๐ มือ ถืออาวุธครบมือ แล้วขึ้นขี่ช้าง คีรีเมขล์ตัวใหญ่มหึมา แล้วยกพลไปขับไล่พระมหาโพธิสัตว์ที่โพธิบัลลังก์ ฝ่ายเทพบุตร เทพธิดา และพระพรหมทั้งหลายที่คอยดูแลพระมหาโพธิสัตว์อยู่บริเวณนั้น ต่างก็ตกใจ แตกตื่น และกลัวแล้วรีบหนีไปกันหมดสิ้นเหลือแต่องค์พระโพธิสัตว์พระองค์เดียว
เมื่อพญามารและเสนามารเมื่อมาถึงโพธิบัลลังก์ ก็ทำการต่อว่าและขับไล่พระมหาโพธิสัตว์ให้ลุกขึ้นและหนีไป เพราะพญามารบอกว่าที่นี่คือที่ของตน แต่พระมหาสัตว์ได้ตอบไปว่าโพธิบัลลังก์นี้เป็นของพระองค์ได้มาด้วยบุญบารมีที่บำเพ็ญเพียรมาอย่างยาวนานเป็นอเนกอนันต์ พระองค์ได้กระทำมหาทานต่างๆมากมายมีทานบุตรและภรรยา เช่น ในสมัยที่พระองค์เกิดเป็น พระเวสสันดร เป็นต้น แต่พญามารไม่เชื่อและไม่ยอม ยังไงพระองค์ต้องลุกขึ้นไปจากที่นี่ แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่ยอมลุกไป เพราะพระองค์ยืนยันว่าเป็นที่ของพระองค์ ทำให้พระยามารและเสนามารโกรธมาก จะเข้าไปทำร้ายให้พระองค์บาดเจ็บจะได้ลุกหนีไป แต่ก็เข้าใกล้พระองค์ไม่ได้ ได้แต่ตะโกนและร้องด่าอย่างหยาบคายต่างๆนาๆ แต่พระองค์ก็นิ่งเฉย พระยามารและเสนามารก็กระทำการต่างๆหนักขึ้นๆ แต่พระองค์ก็ยังคงนิ่งเฉย พระยามารถามหาพยานที่พระมหาสัตว์บอกว่าที่นี่เป็นของพระองค์ พระมหาสัตว์ไม่ได้ตรัสอะไร แต่ได้ชี้นิ้วชี้ที่วางอยู่บนพระเพลา(ตัก)ลงบนพื้นดิน แทนการพูดว่า พระแม่ธรณีเป็นพยาน(ที่มาแห่งพระพระพุทธรูปปางมารวิชัยหรือปางชนะมารนั้นเอง)
ฝ่ายพระแม่ธรณีก็ปรากฏกายเป็นพยานว่าที่พระองค์ตรัสนั้นเป็นสัจความจริงทุกประการ บุญบารมีที่พระองค์ได้บำเพ็ญมานั้นมีมากมายอย่างอเนกอนันต์ โดยเฉพาะ ทานบารมีที่พระองค์ได้กระทำมาก็มากมาย ดังจะดูได้จากการ กรวดน้ำอุทิศบุญกุศลนั้น พระแม่ธรณีได้รองรับน้ำที่กรวดไว้นั้นก็มีเอนกอนันต์มากมายกว่าน้ำในท้องทะเลและมหาสมุทรรวมกัน พระแม่ธรณีเลยได้กระทำการบีบน้ำออกจากมวยผมที่พระแม่ได้รองรับน้ำที่พระมหาสัตว์ได้ทำบุญกรวดน้ำในภพชาติก่อนๆเอาไว้ ให้ออกมาเป็นพยาน(ที่มาของรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม)
คราวนั้นน้ำก็ไหลออกมาจากมวยผมของพระแม่ธรณี และก็มีมากมายเพิ่มขึ้นๆ แล้วก็พัดพาให้กองทัพพระยามารและเหล่าเสนามารแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง พระยามารตกใจกลัวรีบขี่ช้างคีรีเมขล์หนีไปแต่เนื่องด้วยกระแสน้ำที่มากและเพิ่มปริมาณมากขึ้นๆเรื่อยๆ และไหลเชี่ยว จึงได้พัดพาพระยามารไปจนสุดขอบจักรวาล
พระยามารเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัวและสำนึกได้ เมื่อได้ประจักษ์ในบุญญาธิการและสัจธรรมความจริงที่พระมหาสัตว์ได้กล่าวว่าจริงทุกประการ ก็เลยสำนึกและทำการขอขมาด้วยความเคารพ และได้ตั้งปณิธานว่าอยากจะกระทำให้ได้เหมือนพระองค์บ้าง ซึ่งในอนาคตถึงแม้จะไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นองค์พระศาสดา แต่ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนั้นเอง
................................................
หมายเหตุ : กฎแห่งกรรมและ ประวัติศาสตร์มักจะ ซ้ำรอยเดิม
จาก ศิษย์ตถาคต