สุวรรณสังข์ชาดก : สังข์ทอง
******************************
ชาดกนี้ สอนให้เข้าใจ กฎแห่งกรรมที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วไดัชั่วได้อย่างชัดเจน และยังทำให้พบสัจธรรมความจริงใน การเวียนว่ายตายเกิดใน สังสารวัฎ เพราะเป็นเรื่องที่กล่าวถึงอดีตชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเอง
ก. เนื้อเรื่องโดยย่อ
พระเจ้าพรหมทัตเป็นกษัตริย์ครองเมือง พรหมนคร มีพระมเหสี ๒ องค์ช้ายและขวา มเหสีฝ่ายขวานามว่า จันทาเทวี ส่วนฝ่ายซ้ายนามว่า จัมปากเทวี ทั้งสามพระองค์ยังไม่มีบุตรหรือธิดาด้วยกันเลย จึงได้ทำการอ้อนวอนและทำบุญ ทำทาน และรักษาศีลเพื่อขอพรจากเบื้องบน
จนเวลาผ่านไปหลายปี พระมเหสีจันทาฝันว่ามีพระอาทิตย์สุกสว่างลอยเวียนรอบเขาไกรลาศ ๓ รอบ แล้วตกลงที่ทรวงอกของพระนาง ส่วนพระนางจัมปากเทวีฝันว่าพระอินทร์เอาดอกจำปาทองมาให้พระนาง มเหสีทั้งสองจึงได้ไปเล่าความฝันให้พระสวามีฟัง พระเจ้าพรหมทัตจึงให้โหรมาทำนายฝัน โหรหลวงทำนายว่าพระมเหสีจันทาเทวีจะได้โอรสรูปงาม มีบุญญาธิการมากและจะได้ครองเมืองเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่สืบต่อจากพระองค์ ส่วนพระนางจัมปากเทวีจะได้ธิดาที่โสภายิ่งนัก
พระเจ้าพรหมทัตดีพระทัยมากที่จะได้โอรสที่ดีสืบราชสมบัติในอนาคต จึงสั่งให้สร้างเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้รอพระโอรสที่จะสืบสันตติวงศ์ ทำให้พระเทวีจัมปากเทวีรู้สึกอิจฉาและเกรงว่าพระสวามีจะรักและหลงพระนางจันทาเทวีมากกว่าตน และอีกทั้งลูกของนางก็จะได้ครองราชย์ต่อจากพระบิดาซึ่งพระนางยอมไม่ได้ จึงได้หาอุบายและหาทางกำจัดสองแม่ลูกให้เป็นไป แต่จะกระทำการคนเดียวไม่สะดวกและอาจไม่สำเร็จ จึงไปชักชวน ปาลกเสนาบดีให้ช่วยคิดแผนการและหากทำสำเร็จพระนางจะให้รางวัลตอบแทนอย่างงาม
ปาลกเสนาบดีจึงทูลใส่ร้ายพระมเหสีจันทาเทวีว่าพระองค์มีชู้ลักลอบมีสัมพันธ์กับชาวบ้านทั่วไปและลูกในท้องก็ไม่ใช่ลูกของพระองค์ และเมื่อมเหสีจัมปากเทวีเข้ามาสมทบก็พูดใส่ร้ายป้ายสีเช่นเดียวกัน พระเจ้าพรหมทัตไม่ได้พิจารณาใคร่ครวญและไตร่สวนใดๆ ด้วยความโกรธก็ได้ขับไล่พระมเหสีจันทาเทวีออกจากเมืองไป พระนางโศกเศร้าเสียใจและทุกข์ทรมานเดินออกจากวังเข้าป่าไปอย่างไร้จุดหมายซึ่งขณะนั้นพระนางตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พอดีเจอตากับยายซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนาใจดีมีเมตตาระหว่างทางจึงได้สอบถามพระนางถึงความเป็นมาเป็นไป แล้วจึงชวนพระเทวีมาอยู่ด้วยกัน นางจึงมาอยู่อาศัยและช่วยสองตายายทำงานทุกอย่างอย่างมีความกตัญญู ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในครรภ์ทรงเกรงว่าถ้าคลอดออกมาเป็นโอรสที่รูปงามจะทำให้แม่ลำบากในการเลี้ยงดูขึ้นอีกหลายเท่านัก เพราะขณะนี้ก็ลำบากมากแล้ว จึงตัดสินใจจะอยู่ในรูปที่ไม่ทำให้แม่ลำบากมากนัก
เมื่อครบกำหนด ๑๐ เดือน พระเทวีก็คลอดลูกออกมาเป็น หอยสังข์ พระนางและตายายก็ช่วยกันเก็บรักษาและให้อาหารเลี้ยงดูอย่างดีเหมือนเป็นลูกมนุษย์เช่นกัน พระนางก็นอนกอดและกล่อมลูกพร้อมพูดคุยกับหอยสังข์เหมือนว่าเป็นมนุษย์จริงๆ ครั้นนานวันไปเมื่อแม่และตายายออกไปทำงานในไร่ในนา พระสังข์ก็ออกมาจากหอยสังข์ช่วยทำงานบ้านและหุงหาอาหารไว้คอยแม่และตากับยายที่จะกลับมาในตอนเย็น เมื่อนางกลับมาเห็นก็แปลกใจแต่ไม่ได้คิดอะไร ครั้นวันที่สองก็ทำเหมือนเดิมอีก ทำให้นางแปลกใจมากและเห็นเด็กผู้ชายวิ่งๆอยู่ในบ้านแว๊บๆ แต่เมื่อมาถึงบ้านกลับไม่เห็นใคร วันที่สามนางจึงทำทีเป็นออกไปทำงานตามปกติแต่ไม่ไปไหนไกล แต่กลับแอบซุ่มดูอยู่ สักพักพระสังข์ทองพระโอรสน้อยรูปงามราวกะโอรสสวรรค์ ผู้มีผิวกายสุกเปล่งดั่งทองคำ ก็คลานออกมาจากหอยสังข์ ขณะกำลังจะไปปัดกวาดบ้านและทำงานบ้านช่วยแม่อยู่นั้น พระนางจันทาเทวีดีใจและตกตะลึงในความน่ารัก และความงดงามของโอรสน้อยยิ่งนัก พระนางรีบวิ่งเข้าไปอุ้มกอดจูบและร่ำไรรำพันต่างๆนาๆ อย่างมีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน และพระนางก็ใช้ฆ้อนที่เตรียมไว้ทุบหอยสังข์ให้แตก และบอกกับลูกว่าลูกจะได้ไม่หลบแม่เข้าไปอยู่ในหอยสังข์อีก สังข์ทองเสียใจที่แม่ทุบหอยสังข์นั้นเพราะเป็นของทิพย์วิเศษ และบอกว่าเมื่อลูกมีภัยจะได้มีที่หลบภัย แต่นางได้ปลอบลูกว่าแม่จะปกป้องและดูแลลูกอย่างดีที่สุดด้วยแม่เอง ครั้นตายายกลับมาจากไร่นาก็ดีใจและพร้อมใจกันตั้งชื่อให้ว่า สังข์ทองหรือ สุวรรณสังข์
ข่าวคราวถึงความมีรูปงามและบุญญาธิการของสุวรรณสังข์โด่งดังขจรกระจายไปทั่วทุกสารทิศ จนถึงพระกรรณของพระราชาพรหมทัต จึงได้ทำการสอบถามจากปุโรหิตและทหาร จึงได้ทราบว่าเป็นโอรสของพระองค์กับพระมเหสีจันทาเทวี พระองค์โสมนัสยิ่งนักตรัสสั่งให้นำวอทองและขบวนช้างและม้าไปรับพระมเหสีและพระโอรสสุวรรณสังข์เข้ามาอยู่ในวังด้วยกัน พระองค์มอบตำแหน่งพระมเหสีฝ่ายขวาคืนให้พระนางเหมือนเดิมและมอบตำแหน่งรัชทายาทให้กับสุวรรณสังข์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนขัดเคืองใจและอิจฉาริษยาให้กับมเหสีจัมปากเทวียิ่งนัก และเมื่อได้รู้ข่าวมาว่าพระโอรสเกิดมาจากหอยสังข์ก็ไปกราบทูลยุแหย่ใส่ร้ายป้ายสีสองแม่ลูกว่าเป็น กาลกิณี ซึ่งปาลกเสนาบดีก็ยุแหย่กราบทูลเช่นเดียวกัน
พระราชาได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก จึงมีรับสั่งให้นำสองแม่ลูกลงแพแล้วนำไปปล่อยในมหาสมุทร และเมื่อเจอลมฝนแพก็แตกทำให้สองแม่ลูกก็พลัดพรากจากกันไป พระนางจันทาเทวีได้ขอนไม้จึงลอยไปหาต้นไม้และนั่งร้องให้อยู่ที่ต้นไม้นั้น ครั้นบริวารของ ธนัญชัยเศรษฐี แห่ง แคว้นมัทราชบุรีมาพบก็สอบถามและชวนไปบ้านเศรษฐี เมื่อทราบความเป็นมาเป็นไปแล้วเศรษฐีก็ขอให้นางอาศัยอยู่ด้วยกันและให้นางเป็นหัวหน้าแม่ครัวที่บ้านของเศรษฐี ฝ่ายสุวรรณสังข์อยู่บนแพที่แตกเหลือเพียงเศษเล็กน้อยจะจมแหล่มิจมแหล่อยู่นั้น ไม่นานสุวรรณสังข์กุมารน้อยก็จมลงสู่ก้นมหามหาสมุทร ฝ่ายพญานาคราชที่อยู่เมืองบาดาลนาคพิภพเกิดร้อนลนจึงค้นหาสาเหตุและที่มา เมื่อทราบแล้วจึงรีบไปรับเอากุมารน้อยขึ้นสู่ฝั่งก่อนที่จะหมดลมหายใจ และยังได้เนรมิตแพทองคำอย่างดีมีที่มุงบังลมฝนได้ แล้วให้นาคบริวารดูและรักษาแล้วพาไปถึงฝั่งมหาสมุทร เมื่อถึงฝั่งแล้วพระสุวรรณสังข์จึงเดินเท้าต่อไปด้วยความโศกเศร้าและอาลัยถึงพระมารดา จนเดินทางมาถึงอาศรมของพระฤาษี เมื่อพระฤาษีทราบเรื่องต่างๆแล้ว ก็ขอให้พักอยู่ด้วยกันแต่พระองค์อยากจะเดินทางออกตามหาพระมารดา พระฤาษีจึงให้เดินทางออกไปตามลำน้ำและจะผ่านเมืองยักษ์ก่อน พระโอรสจึงออกเดินทางมากับแพทองคำของพญานาคราชไปตามลำน้ำ
จนมาถึงเมืองของ นางยักษ์ขิณีพวกยักษ์บริวารชายและหญิงทั้งหลายเมื่อเห็นมนุษย์ตัวน้อยน่ารักก็อยากจะจับกินบ้างบางตนก็อยากได้ไปเลี้ยงไว้ดูเล่น แต่เมื่อเข้าไปใกล้พระกุมารกลับรู้สึกร้อนมากและถูกคลื่นน้ำยักษ์พัดพาแตกกระจายไปคนละทิศคนละทางเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จนต้องไปแจ้งข่าวให้นางยักษ์ขิณีผู้เป็นนายใหญ่ให้ทราบ ซึ่งนางยักษ์เป็นหม้ายสามียักษ์ได้ตายไปแล้ว นางยักษ์เมื่อเห็นสุวรรณสังข์กุมารผู้น่ารักก็อยากได้เป็นพระโอรส จึงแปลงกายเป็นหญิงสาวงามมารับไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมหวังจะให้ครอบครองอาณาจักรและปกครองเหล่ายักษ์สืบต่อไป โดยนางยักขิณีได้สั่งให้บริวารแปลงกายเป็นมนุษย์เมื่ออยู่ต่อหน้าพระโอรส นางยักษ์ให้การเลี้ยงดูและมอบให้บริวารตั้งพันคอยเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล และห้ามลูกเข้าไปในปราสาทเขตหวงห้ามเด็ดขาด แต่เมื่อพระองค์อยู่มาหลายปีและโตเป็นหนุ่มแล้วก็อยากออกติดตามหาพระมารดา วันหนึ่งได้เข้าไปในปราสาทเขตหวงห้ามได้พบกับกองกระดูกของมนุษย์และสัตว์กองเกลื่อนกลาด พระองค์ตกใจมากและได้ทราบว่าแม่คือยักษ์และเมืองนี้คือเมืองยักษ์นั้นเอง พระองค์เดินขึ้นไปอีกชั้นของปราสาทได้พบกับชุดเกราะเงาะ รองเท้าทอง และพระขรรค์ จึงลองสวมใส่ดู ครั้นเมื่อสวมรองเท้าทองแล้วก็เหาะได้จึงเหาะเล่นในปราสาท แล้วค่อยถอดออก แล้วได้เดินทางมาพบบ่อทองบริเวณทางออกปราสาทจึงเอานิ้วก้อยจุ่มดู นิ้วจึงกลายเป็นนิ้วสีทองและล้างไม่ออกจึงเอาผ้าพันไว้ แม่ยักษ์กลับมาได้สอบถามและเห็นนิ้วก้อยมีผ้าพันจึงเป่าคาถาลบทองออกจากนิ้วก้อยให้ แล้วสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปในปราสาทอีกเด็ดขาด แม่ยักษ์จำต้องอยู่กับลูกและคอยดูแลด้วยตัวเองเพราะพวกบริวารที่ให้ดุูแลพระองค์นั้น กลับปล่อยให้เข้าไปในปราสาทเขตหวงห้ามได้ ซึ่งพระโอรสนั้นดื้อเองไม่เชื่อฟังใครนอกจากแม่ยักษ์เท่านั้น ครั้นหลายวันเข้านางยักษ์ก็ผอมโซและหิวอาหารยักษ์เพราะกินอาหารมนุษย์กับลูกสังข์ไม่อิ่ม จึงบอกว่าพรุ่งนี้แม่จะออกไปธุระนอกเมืองลูกอยู่ทางนี้ต้องเชื่อฟังพี่เลี้ยงและห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามอีกเด็ดขาด
ในวันต่อมาเมื่อนางยักษ์ออกไปหากิน พระสุวรรณสังข์ก็ตัดสินใจชุบตัวในบ่อทองแล้วสวมชุดเงาะและรองเท้าทอง พร้อมทั้งเหน็บพระขรรค์แล้วเหาะหนีจากเมืองยักษ์ไป จนถึงเขตเมืองพาราณสีเมื่อเจออาศรมในภูเขาก็ลงไปพักผ่อน ครั้นนางยักษ์ตามมาเจอและอ้อนวอนให้กลับไป พระองค์ก็ไม่ยอมกลับ บอกว่าจะตามหาแม่และบอกว่ามนุษย์กับยักษ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ นางจึงขอให้ลูกลงมาเรียนมนต์ทิพย์ในการเรียกฝูงสัตว์ต่างๆทั้งในน้ำ บนดิน และอากาศ ซึ่งสุวรรณสังข์บอกให้เขียนไว้หน้าผาโดยไม่ยอมลงไปแล้วจึงทำการเหาะหนีไป นางยักษ์เสียใจและจะตามลูกไปก็ไม่ได้เพราะสุดเขตของยักษ์ก็เป็นเมืองมนุษย์แล้ว นางเสียใจร่ำให้อาลัยรักลูกจนอกแตกตายที่นั้นเอง พระสุวรรณสังข์จึงเหาะลงมาทำการเผาศพให้มารดายักษ์อย่างโศกเศร้าและอาลัยรักแม่ยักษ์ผู้มีพระคุณมากล้นนั้นเอง เสร็จแล้วจึงเหาะไปเมืองพาราณสีต่อไป เมื่อหิวน้ำเจ้าเงาะก็เหาะลงไปเจอพวกเด็กเลี้ยงโคและได้ขอน้ำกิน ซึ่งพ่อของเด็กเลี้ยงโคคือ นายคามโภชกก็สอบถามและขอให้อยู่อาศัยด้วยกัน โดยช่วยเลี้ยงโคเป็นการตอบแทนข้าวและน้ำ ซึ่งเจ้าเงาะก็ตกลงและอยู่กับครอบครัวนั้น
ฝ่ายกษัตริย์เมืองพาราณสีมีธิดาแสนสวย ๗ องค์ ซึ่งมีคู่ครองไปแล้ว ๖ องค์เหลือแต่พระธิดาองค์เล็กชื่อ คันธาวดี ซึ่งไม่ยอมเลือกใคร พระบิดาจนใจและโกรธยิ่งนักเพราะหาผู้ชายมาให้เลือกหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกใจ จึงได้มีคำสั่งให้สอบถามว่ามีผู้ชายคนใดในเมืองนี้ที่ยังไม่มาให้นางเสี่ยงมาลัยเลือกคู่มีอีกใหม? มีอยู่อีกคนหนึ่งคือเจ้าเงาะป่าบ้าใบ้ในทุ่งนากับเด็กเลี้ยงโคพะยะค่ะ! ไปตามมันมา บัดเดี๋ยวนี้!
ในคืนก่อนเสี่ยงมาลัยนั้นพระธิดาฝันว่า มีเทวดานำผลไม้ทิพย์ซึ่งรูปรูปร่างค่อนข้างแคะแกร็นมีกลิ่นหอมแค่นๆชึ่งเหล่านรชนไม่ชอบใจมาให้พระนางแล้วพระองค์ก็ได้ผ่าออกมาพบว่ามีแก้วเจ็ดประการแล้วพระองค์จึงนำแก้วนั้นไปประดับพระวรกายแล้วก็ตื่นจากพระบรรทม ส่วนพระโพธิสัตว์นั้นก็ฝันเช่นกัน คือฝันว่าได้ลงสรงน้ำในสระอโนดาตในป่าหิมพานต์ ซึ่งทำให้พระองค์ดีใจว่าเป็นศุภนิมิตดีแท้
และในวันเลือกคู่นางได้ตั้งสัจจะอธิษฐานแล้วเสี่ยงมาลัย ซึ่งมาลัยก็ลอยมาสวมข้อมือเจ้าเงาะนั้นเอง ทั้งคู่ต่างดีใจและมีความสุขยิ่งนัก แต่พระราชาและหกเขยรวมทั้งมเหสีทั้งหกไม่ชอบใจเจ้าเงาะ จึงไล่ทั้งคู่ออกไปอยู่ไกลๆจากพระนคร แต่กระนั้นก็ยังไม่พอใจ หกเขยต่างก็ทำการยุแหย่ใส่ร้ายว่าเจ้าเงาะเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง จำต้องหาทางฆ่าให้ตายซึ่งพระราชาก็เห็นดีด้วย แต่จะลงมือฆ่าก็จะทำให้ชาวเมืองเขานินทาเอา จึงออกอุบายละวางแผนการอย่างแยบยล ดังนี้
ครั้งที่ ๑ ออกอุบายให้เขยทั้งเจ็ดไปหาเนื้อ(สัตว์ป่า)มา ถ้าใครหาไม่ได้จะถูกฆ่าตาย (หวังผลว่าเจ้าเงาะบ้าใบ้จะหาไม่ได้และจะถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน) ทั้งหกเขยหาเท่าไหร่ก็หาไม่ได้และหากกลับเข้าวังไปมือเปล่า จะต้องถูกพระราชาฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน จึงอ้อนวอนขอพรเทวดาขอให้ได้เนื้อกลับเข้าวังด้วยเทอญ เมื่อขอพรเสร็จก็เดินหาเนื้อในป่าต่อไป พลันก็เจอกับเทวดารูปงามเหลืองอร่ามใต้ร่มไม้ใหญ่ และเจอฝูงเนื้อล้อมรอบพระองค์มากมายคณานับ จึงเข้าไปบอกว่าพระราชาหาอุบายฆ่าเจ้าเงาะโดยการให้หาเนื้อไปถวาย แล้วขอเนื้อคนละตัว เทวดานั้นสัญญาว่าจะให้แต่ต้องมีของแลกเปลี่ยน โดยขอใบหูคนละนิดหนึ่ง ซึ่งหกเขยจำต้องยอมให้เทวดาใช้พระขรรค์ตัดใบหูนิดหนี่ง แล้วก็รับเนื้อคนละตัวแล้วลากลับเข้าวังไป ส่วนเจ้าเงาะก็นำเนื้อหลายตัวเข้าวังตามไปหลังจากนั้น สร้างความตกตะลึงและแปลกใจแก่พระราชา ราชินี และหกเขยกับมเหสีทั้งหก ตลอดจนชาวเมืองเป็นอย่างมาก
ครั้งที่ ๒ เมื่อการครั้งแรกไม่สำเร็จ ครั้งนี้ได้ออกอุบายให้ไปนำหมูป่ามาให้ หากหามาไม่ได้จะถูกฆ่าตาย ซึ่งก็เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เทวดา(เงาะป่า)ได้ขอนิ้วมือเป็นของแลกเปลี่ยน
ครั้งที่ ๓ ครั้งนี้เป็นการหาสัตว์น้ำคือปลาไปถวาย ซึ่งก็เหมือนเดิม โดยครั้งนี้พระโพธิสัตว์ได้ขอจมูกหกเขยเป็นการแลกเปลี่ยน
เมื่อแผนการร้ายทั้งสามครั้งไม่สำเร็จผล และกำลังวางแผนฆ่าเจ้าเงาะแบบใหม่อยู่นั้น ท้าวสักกะเทวราช(พระอินทร์)เกิดร้อนพระที่นั่งกัมพลสิลาอาสน์จึงส่องทิพย์เนตรลงมายังโลกมนุษย์ แล้วก็รู้สาเหตุทำให้พระองค์โกรธพระเจ้าพาราณสีและหกเขยหน้าโง่เหล่านั้นมาก จึงลงมาหาพระเจ้าพาราณสีแล้วตั้งปัญหา ๒ ข้อ และท้าพนันตีคลี ซึ่งพระเจ้าพาราณสีจะแข่งด้วยตนเองหรือหาคนแทนมาแข่งกับพระองค์ให้ได้ภายใน ๗ วันก็ได้ ซึ่งหากไม่สามารถตอบคำถามได้และตีคลีไม่ชนะพระอินทร์ พระองค์จะเอาฆ้อนทุบหัวพระราชาและยึดเอาเมืองพาราณสี ครั้งนั้นพระเจ้าพาราณสีกลุ้มใจมากและหาใครมาก็ตอบปัญหาไม่ได้สักคน ซึ่งทั้งหกเขยก็ไม่สามารถตอบคำถาม ๒ ทั้งข้อนั้นได้ และการเหาะตีคลีบนอากาศนั้นก็ไม่ต้องพุูดถึงแม้ตีอยู่บนดินก็ยังไม่เอาไหนเลย จนเลยไปหกวันแล้วเหลืออีกเพียง ๑ วัน พระเจ้าพาราณสีรู้สึกกระวนกระวาย กลุ้มใจและอับจนหนทางยิ่งนัก พระมเหสีจึงทูลขอให้เจ้าเงาะไปช่วย เพราะเจ้าเงาะมีบุญญาธิการมาก เพราะพระองค์หาทางกำจัดถึง ๓ ครั้งก็รอดมาราวปาฏิหาริย์ทุกครั้ง พระราชาหมดหนทางจำต้องยอมจึงได้ไปเรียกเจ้าเงาะมาเฝ้า ฝ่ายเจ้าเงาะเมื่อถูกขอร้องจากพระราชินีผู้เป็นแม่ยาย และการรบเร้าจากคันธาเทวีเมียรักก็ใจอ่อนจึงรับปากว่าจะช่วย แต่ได้ขอให้เรียกเสนาอำมาตย์ ทหาร และชาวเมืองทั้งหลายมาฟังคำสั่งพระราชา และเป็นสักขีพยานที่ท้องพระโรงในพระมหาราชวังในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งพระราชาก็ยินยอมทำตามทั้งที่ขัดเคืองในพระทัยอย่างยิ่งก็ตาม แล้วพระโพธิสัตว์ก็ประกาศว่ามหาชนจงรู้เห็นและเป็นพยานแก่เราด้วย
เมื่อฟังประกาศแล้วก็ถอดรูปเงาะป่าออกจากกาย ทรงฉลองพระบาททิพรัตน์ และทรงจับพระขรรค์แก้วด้วยหัตถ์เบื้องขวา เหาะขึ้นไปบนอากาศ งามโอภาสดังสุวรรณราชหงส์ ทรงประทับลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ พวกเสนาอำมาตย์และอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเห็นพระโพธิสัตว์ทำอาการอย่างนั้นพากันประนมมือและให้สาธุการชมเชยพระโพธิสัตว์โดยอเนกปริยาย ทั้งหกเขยต่างตกตะลึงเพราะคุ้นๆว่าเคยเห็นที่ใหน?
ท้าวมัฆวานจึ่งเข้าใกล้พระโพธิสัตว์ ถามปัญหาว่า แน่ะ พ่อปราชญ์ สภาวธรรมสิ่งไรย่อมทำให้มืดในโลกนี้และโลกหน้า พ่อปราชญ์จงวิสัชนาความข้อนี้ให้แจ้งชัดแก่พวกเทวดาและมนุษย์ซึ่งมาประชุมกัน ณ พื้นดินถึง ณ พื้นอากาศด้วยเทอญ พระโพธิสัตว์เมื่อจะกล่าวแก้ปัญหา จึ่งทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักเทวราช บุคคลผู้ใดทำโทษแก่ผู้อื่นที่ไม่มีความผิด ทำคนอื่นให้วิวาทซึ่งกันและกัน และทำปัญจานันตริยกรรม(อนันตริยกรรม) มีฆ่ามารดา ฆ่าบิดา เป็นต้น ไม่ฟังธรรมคำสอนของนักปราชญ์ กอปรด้วยปาปจิต บุคคลผู้นั้นชื่อว่าทำความมืดในโลกนี้และโลกหน้า ข้าแต่เทวราช พระองค์จงทราบเนื้อความอย่างนี้แล ทีนั้น สรรพเทวามีท้าวสักกะ เป็นต้น ได้กระทำบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยข้าวตอกและดอกไม้ แล้วให้สาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั้ง ๓ ภพเลยทีเดียว
ท้าวสหัสนัยน์จึ่งถามปัญหาที่สองว่า แน่ะ พ่อปราชญ์ สภาวธรรมสิ่งไรเป็นแสงสว่างในโลกนี้และโลกหน้า พ่อปราชญ์จงวิสัชนาความข้อนี้ให้แจ้งชัด พระโพธิสัตว์จึ่งทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักเทวราช บุคคลผู้ใดตั้งอยู่ในศีลห้าศีลแปด และบริจาคทานแก่ยาจก หมั่นสดับธรรมคำสอนของนักปราชญ์ มีจิตเมตตาปรานีแก่สัตว์ทั่วไป ตั้งอยู่ในคุณพระรัตนตรัย ตลอดถึงมรรคและผล บุคคลผู้นั้นชื่อว่าสว่างไพโรจน์ในโลกนี้และโลกหน้า อนึ่ง บุคคลผู้ใดเจริญจตุพรหมวิหารได้เป็นนิตย์ มิได้ปลงชีวิตสัตว์ให้ตกไป บุคคลผู้นั้นชื่อว่าสว่างไพโรจน์ในโลกทั้งสอง คือ โลกนี้ และโลกหน้า เมื่อพระโพธิสัตว์แก้ปัญหาที่สองจบลงครั้งนั้น เทพดาและมนุษย์ต่างกระทำบูชาและให้สาธุการเหมือนนัยหนหลัง
ท้าวมัฆวานจึงท้าประลองตีคลีบนท้องฟ้านภากาศ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์งดงามและอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งคู่ตีคลีบนหลังม้าวิเศษบนอากาศ ต่างต่อสู้รุกรับอย่างถึงพริกถึงขิงโดยไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำสร้างความหวาดเสียวและตื่นเต้นตกใจแก่ทุกคนและเหล่าเทพบุตรเทพธิดา ตลอดจนพรหมทั้งหลายที่เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อยิ่งนัก เมื่อเวลานานไปใกล้ค่ำท้าวสักกะเทวราชรู้สึกเหนื่อยและเห็นว่าพยศของพระจ้าพาราณสีและหกเขยหน้าโง่หมดลงแล้ว พระอินทร์ก็ยอมแพ้และขี่ม้าหนีไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระองค์ไป เสียงไชโยโห่ร้องในชัยชนะของพระมหาสัตว์ดังกึกก้องสะเทือนไปทั้ง ๓ ภพเลยทีเดียว
แล้วพระเจ้าพาราณสีและชาวเมืองต่างก็ตกลงทำการอภิเษกให้พระโพธิสัตว์และพระมเหสีคันธาเทวีขึ้นครองราชย์สมบัติ ซึ่งพระองค์ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม และชาวเมืองต่างก็รักษาศีลและปฏิบัติธรรมด้วยความสงบสุขยิ่ง พระองค์ทรงคิดถึงพระมารดาจึงได้ออกติดตามและค้นหาไปทุกแคว้น จนถึงแคว้นมัทราช จนมาถึงบ้านของธนัญชัยเศรษฐี เมื่อมาถึงบ้านเศรษฐีก็ได้ทักทายและสอบถามความเป็นมาเป็นไปกันแล้ว ก็เลยเชิญพักผ่อนเสวยอาหารก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไป แม่ครัวจึงได้ทำอาหารมาให้พระโพธิสัตว์เสวย ซึ่งรสชาตินี้พระองค์คุ้นๆ และรู้สึกอร่อยมาก พระองค์นึกถึงฝีมือปรุงอาหารของพระมารดาสมัยเยาว์วัย จึงสอบถามและได้เรียกแม่ครัวมาสอบถามถึงความเป็นมาเป็นไป นั้นเองพระองค์รู้แล้วว่าแม่ครัวคนนี้คือพระมารดาจันทาเทวีอย่างแน่นอน และพระมารดาก็ดีพระทัยมาก พระนางมั่นใจทีเดียวว่าพระเจ้าพาราณสีพระองค์นี้ก็คือโอรสของพระนางอย่างแน่นอน ทั้งสองพระองค์กอดกันและพิไรรำพันอย่างน่าเวทนาและตื้นตันใจยิ่งนัก แล้วพระองค์ก็ทูลเชิญพระมารดาเข้าไปอยู่ในพระราชวังด้วยกัน แล้วสถาปนาพระมารดาให้เป็น สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวงอีกด้วย
ด้วยทศพิธราชธรรมและพระบรมเดชานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์บ้านเมืองมีความสงบสุข พสกนิกรจากแคว้นอื่นๆต่างอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จนในวันหนึ่งพระราชาแห่งเมืองพรหมนครได้รับรายงานจากผู้เก็บภาษีว่าการเก็บรายได้ลดลงไปมากเพราะชาวบ้านชาวเมืองอพยพออกไปอยู่แคว้นพาราณสีมาก เพราะกษัตริย์พระองค์นั้นมีบุญญาธิการและปกครองไพร่ฟ้าด้วยทศพิธราชธรรม ซึ่งพระองค์ก็คือเพราะโอรสสังข์ทองของพระองค์นั้นเอง เมื่อทราบดังนั้นพระเจ้าพรหมทัตดีพระทัยมาก อยากจะไปเชิญพระโอรสมาปกครองเมืองพรหมนครต่อจากพระองค์ผู้เป็นบิดายิ่งนัก ได้เฝ้าปรึกษาและขอร้องให้ปุโรหิตและเสนาบดีผู้ใหญ่ไปทูลเชิญพระโอรสมาปกครองบ้านเกิดเมืองนอนของตน ซึ่งมหาเสนาบดีจึงรับอาสาจะทำการนี้ให้สำเร็จ
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ด้วยแรงกตัญญูจึงล่ำลาชาวพาราณสีอย่างอาลัย พสกนิกรต่างอาลัยรักใคร่เสียดายพระองค์ แต่ด้วยคุณธรรมและความกตัญญู แล้วทั้ง ๓ พระองค์ คือ พระโพธิสัตว์ พระนางจันทาเทวี และพระนางคันธาเทวี จึงเดินทางมาที่พรหมนครบ้านเกิดเมืองนอนของพระโพธิสัตว์ แล้วก็ได้รับการอภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติแทนพระบิดา ฝ่ายพระมารดาจันทาเทวีนั้นพระนางไม่ยอมเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต พระองค์ขออยู่กับลูกเพราะไม่ต้องการให้ใครต้องกล่าวหาว่าเป็นกาลกิณีอีก แต่พระสวามีไม่ยอม จึงได้ถามนางจัมปากเทวีว่าใครคือ กาลกิณี นางตอบว่าพระมเหสีจันทาเทวี พระนางจันทาเทวีเสียใจยิ่งนักพระนางต้องการพิสูจน์ว่าพระนางบริสุทธิ์ จึงขอทำพิธี ลุยไฟ เพื่อพิสูจน์เป็นทิพยพยาน ซึ่งพระนางได้ตั้งสัจจะอธิษฐานก่อนทำพิธี ทำให้ขณะพระนางลุยไฟได้เกิดมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับเท้าของนางและเปลวไฟก็เย็นสบายดีทำให้นางบริสุทธิ์ปลอดภัย ด้วยแรงอกุศลกรรมบันดาลให้นางจัมปากเทวีมเหสีผู้ชั่วร้ายตัดสินใจขอทำพิธีลุยไฟด้วยเช่นกัน ซึ่งไฟก็ได้เผาไหม้นางอย่างมอดไหม้ พระนางร้องโหยหวนและมีทุกขเวทนายิ่งนัก แล้วก็ลงนรกอเวจีทันทีที่จิตออกจากร่างไป
ฝ่ายปาลกเสนาบดีครั้นทราบว่าพระโพธิสัตว์กลับมาครองเมืองพรหมนครแล้ว ก็รีบหนีออกจากพระนครไป เพราะกลัวความชั่วช้าของตัวเองจะถูกเปิดโปงและต้องรับโทษหนัก โดยหนีไปอาศัยเมือง ปัญจาลธานี แล้วไปยุยงแจ้งความเท็จแก่เจ้าเมืองว่า พระสุวรรณสังข์กำลังซ้อมรบเตรียมการบุกโจมตีปัญจาลธานี โดยตนขออาสาเป็น ทัพหน้านำทหารจากเมืองปัญจาลธานีจำนวนเจ็ดอักโขเภณี ไปรบและจับตัวสุวรรณสังข์พระราชาองค์ใหม่ของพรหมนครก็คงจะชนะไม่ยาก เพราะยังเยาว์วัยและใหม่ในการปกครองบ้านเมืองและการสงคราม ซึ่งเจ้าเมืองปัญจาลธานีเห็นดีด้วยจึงให้ทหารเป็นกองทัพใหญ่จำนวนเจ็ดอักโขเภณีแก่ปาลเสนาบดีให้ไปรบกับเมืองพรหมนครโดยพระองค์จะนำทัพหลวงออกติดตามไปทีหลัง เมื่อพระโพธิสัตว์ทราบความก็ตกพระทัยเพราะข้าศึกมามากมายเป็นกองทัพใหญ่ และไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งพระองค์รักสันติไม่อยากให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของบ้านเมืองแต่อย่างใด จึงครุ่นคิดหาทางออกว่าจะทำประการใด
พระองค์นึกถึงพระมารดายักษ์ขิณีว่าพระนางอาจช่วยได้ จึงทำสมาธิเข้าฌานสมาบัติแล้วก็ได้ทราบว่ามารดายักษ์ไปเกิดเป็นเทพธิดาอยู่ในสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกานางเป็นเทพธิดานั้นเอง จึงได้สวมรองเท้าทองแล้วเหาะขึ้นไปพบพระมารดา แล้วแจ้งความประสงค์ ครั้นเทพธิดาสดับทราบความแล้ว ก็ให้มีความเมตตาต่อพระสุวรรณสังขราชกุมาร จึ่งประทานพระขรรค์ทิพย์ชื่อ สิริชัย ให้แก่พระสุวรรณสังขราชกุมาร แล้วบอกว่า พ่อจงรับเอาพระขรรค์แก้วแล้วด้วยเทวฤทธิ์ที่มารดาให้ไปนี้ ถ้าหากว่าปัจจามิตรมาข่มเหงแย่งราชสมบัติของพ่อไซร้ พ่อจงเหาะขึ้นบนอากาศ แล้วเอาพระขรรค์แก้วแกว่งบนศีรษะของพ่อไว้ หมู่ปัจจามิตรจะพ่ายแพ้กลับไปด้วยอำนาจ รัตนขรรคาวุธ พ่อราชบุตรจงทำตามมารดาสั่งดังนี้
พระสุวรรณสังราชกุมารรับเอารัตนขรรคาวุธอันให้สำเร็จความปรารถนาจากเทวธิดาแล้ว ก็อำลากลับมาสู่ยังสำนักของราชบิดาและราชมารดาบนโลกมนุษย์ แล้วจึงกราบบังคมทูลว่าพระองค์จะขออาสาออกรบกับข้าศึกศัตรูด้วยพระองค์เอง จึ่งพร้อมด้วยพลเสนาเสด็จออกจากพระนคร แล้วได้เหาะขึ้นบนอากาศ แล้วแกว่งทิพรัตนขรรคาวุธตามที่นางเทวธิดาบอกไว้ รัศมีพระขรรค์แก้วก็ลุกโพลงตกลงมาเสียงดังประเปรี้ยงเหมืองเสียงอสนีบาต ประหนึ่งว่าจะทำมหาโยธาข้าศึกให้ตายไปหมดด้วยกัน พวกเสนานับได้เจ็ดอักโขเภณีประหนึ่งว่าจะมีศีรษะแตกออกไป พากันร้องขอชีวิตต่อพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาททั้งหลายจะไม่คิดประทุษร้ายต่อพระองค์ ขอพระองค์จงประทานชีวิตให้พวกข้าพระเจ้าเถิดพระเจ้าข้า
ฝ่ายปาลกเสนาบดีก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ ด้วยอิทธานุภาพแห่งพระขรรค์แก้วสิริชัย จึ่งพลัดจากคอช้างตกลงไป ณ ปฐพี วิบากแห่งอกุศลความอกตัญญูให้ผล ปฐพีดลอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็เปิดช่องให้ ปาลกเสนาบดีก็จมลงไปไหม้อยู่ในอเวจีนรกทันที ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงพระกรุณาแก่มหาชนเป็นอันมาก จึ่งตรัสว่า พวกมหาโยธาทั้งหลาย พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงเชื่อคำปาลกเสนาบดีคนลามก ให้ยกกองทัพมาทำสงครามกับเราผู้หาความผิดมิได้ และละสัปปุริสธรรม แล้วทำซึ่งอธรรมทางอบาย แต่นี้ไปท่านทั้งหลายจงอย่าทำบาปกรรมเช่นนี้ต่อไปเป็นอันขาด ทรงให้โอวาทต่อไปอีกว่า บุคคลผู้ใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำปรทารกรรม กล่าวปด เสพสุราเมรัย บุคคลผู้นั้นจักถึงความพินาศเหมือนปาลกเสนาบดี อนึ่ง ฝ่ายกุศลธรรม คือ ศีล ทาน ธรรมสวนะ และเมตตา ภาวนา กุเลเชฏฐาปจายิกกรรม เหล่านี้มีคุณยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่ประมาทในธรรมที่เราสอนแล้วนี้ ผู้นั้นจุติจากโลกนี้แล้วจักไปเกิดในสวรรค์ด้วยกุศลธรรมอันนั้น ทรงให้โอวาทแล้วก็ส่งพวกโยธาให้กลับไปยังปัญจาลนคร ส่วนพระองค์ก็เสด็จคืนเข้าพระราชฐานของพระองค์
ฝ่ายพวกเสนาโยธากลับมาถึงปัญจาลนครแล้ว จึ่งเข้าเฝ้าพระราชาของตน กราบบังคมทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธามีปาลกเสนาบดีเป็นต้นซึ่งพระองค์ส่งไป ได้พร้อมกันเข้าล้อมเมืองพรหมนครไว้ถึงเจ็ดชั้น พระสุวรรณสังขราชกุมารมีบุญญาธิการมากนัก เหาะขึ้นบนอากาศ ทรงแกว่งพระแสงขรรค์แก้ว ณ ท่ามกลางโยธา ด้วยอานุภาพขรรคาวุธ เกิดเป็นแสงสว่างตกลงมาดังประเปรี้ยงเพียงดังสายฟ้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมืดหน้ามัวตาหาสติมิได้ถึงปราชัยพ่ายแพ้ แต่ปาลกเสนาบดีพลัดจากคอช้างตกถึงแผ่นดิน แผ่นดินได้สูบปาลกเสนาบดีผู้อกตัญญูไม่รู้จักคุณเจ้านายของตนไปทั้งเป็น พระสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จลงจากอากาศประทานโอวาทแก่ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธา แล้วส่งให้กลับมาเมืองนี้ ขอพระองค์จงทราบด้วยประการฉะนี้ พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงฟังดังนั้น ทรงพระเกษมสันต์และสรรเสริญพระสุวรรณสังขราชกุมาร รับสั่งให้จัดเครื่องบรรณาการไปถวายเป็นอเนกประการ
พระสุวรรณสังขราชกุมารทรงทรมานพวกปัจจามิตรเสร็จแล้ว จึ่งเสด็จเข้าพระนคร ยังราษฎรให้ตั้งอยู่ในโอวาท ดำรงราชสมบัติโดยชอบธรรม มีพระเดชานุภาพและเกียรติยศปรากฏไปในนานาประเทศ มหาชนมีพระราชาเป็นต้นในนานาประเทศต่างน้อมนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระสุวรรณสังข์เป็นเนืองนิตย์ มหาชนมีพระราชาเป็นต้นตั้งอยู่ในโอวาทแล้วก็ปราศจากภยุปัทวันตราย และพากันทำบุญมีทานเป็นต้น เมื่อสิ้นอายุของตนก็ได้ไปเกิดในเทวโลก ส่วนพระโพธิสัตว์เมื่อก่อสร้างโพธิสมภารอยู่ได้บำเพ็ญกุศลมีทานและศีลเป็นต้น สิ้นพระชนม์แล้วก็ไปอุบัติในเทวสถานด้วยประการฉะนี้
ข. การเวียนว่ายตายเกิด
สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึ่งประชุมชาดกว่า พระยานาคที่เอาเรือมารับสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือพระองคุลิมาลเถระ พระดาบส(ฤาษี)ที่ช่วยสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือพระสารีบุตรเถระ นางยักษิณีมารดาเลี้ยงสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือ นางอุบลวรรณาเถรี ท้าวสักเทวราชผู้อุปถัมภ์สุวรรณสังขกุมารกลับชาติมาคือ พระอนุรุทธเถระ มหาเสนาบดีผู้ไปเชิญเสด็จพระนางจันทาเทวีและสุวรรณสังขกุมารให้มาครองราชย์สมบัติ ณ พรหมบุรี กลับชาติมาคือ พระโมคคัลลานเถระ ธนญชัยเศรษฐีผู้ให้พระนางจันทาเทวีอาศัยอยู่ด้วยนั้นกลับชาติมาคือ พระสีวลีเถระ นางสุวรรณจัมปากเทวีแกล้งใส่โทษแก่พระนางจันทาเทวี กลับชาติมาคือ นางจิญจมานวิกา ปาลกเสนาบดีผู้ผูกอาฆาตต่อสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ ภิกษุเทวทัต พระเจ้าพรหมทัตราชบิดาสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา พระนางจันทาเทวีกลับชาติมาคือ พระนางสิริมหามายาพุทธมารดา พระนางคันธาเทวี อัครมเหสีของสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ ยโสธราพิมพาเทวี บริษัทซึ่งสวามิภักดิ์ต่อพระโพธิสัตว์ กลับชาติมาคือ พุทธบริษัท ส่วนพระสุวรรณสังขราชากลับชาติมาคือ เรา ตถาคต มีพุทธพจน์ให้จบลงด้วยประการฉะนี้