เจ้าแม่สร้อยดอกหมาก : ตำนานการสร้างวัดพนัญเชิง
************************************************************
วัดพนัญเชิงวรวิหาร เป็นวัดหลวงชั้นโท ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา(เป็นจังหวัดที่ไม่มีอำเภอเมือง เช่นเดียวกันกับกรุงเทพพระมหานคร) วัดนี้เป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์มาก จะเป็นรองก็แต่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว ในกรุงเทพมหานครอันเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยเรานั้นเอง ที่ศักดิ์สิทธิ์ก็เนื่องจากว่าที่วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ นั้นก็คือ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโต ที่ทุกคนรู้จักกันดีและเรียกจนติดปากแล้วนั้น ซึ่งชาวจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนเรียกท่านว่า ซำปอกง ซึ่งแปลเป็นไทยว่า พระรัตนตรัยนั้นเอง ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างก็หลั่งไหลกันมากราบไหว้สักการบูชาและขอพรจากหลวงพ่อโต โดยเฉพาะการมาทำบุญโดยการ ห่มผ้าไตรจีวรให้กับหลวงพ่อโต ซึ่งเชื่อกันว่าได้บุญและมีอานิสงส์มากนั้นเอง
ผู้เขียนเคยได้ศึกษาคำสอนของพระเดชพระคุณ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านได้แนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ไว้ว่า ใครที่เคราะห์ร้ายดวงไม่ดี ข้าให้ไปห่มผ้าไตรจีวรหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงน่ะ? และหลวงพ่อโตท่านคอยช่วยลูกหลานและชาติบ้านเมืองของไทยเรา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเสมอมาและตลอดไป ซึ่งอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อโตนั้น ได้ปรากฏและบอกเล่าสืบต่อกันมาทั้งที่เกิดในอดีตและในปัจจุบันนั้นมีตั้งมากมาย เช่น เมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่๒ ไทยได้เข้าร่วมกับประเทศญี่ปุ่นใน ฝ่ายอักษะ ซึ่งได้ถูก ฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยประเทศอเมริกาและประเทศอังกฤษ เป็นต้น ซึ่งได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดใส่ สะพานปรีดี พนมยงค์ซึ่งก็คือสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นเอง ซึ่งเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์หรือปาฏิหาริย์ขึ้น คือว่า ชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในครั้งนั้นได้มองขึ้นไปในท้องฟ้าในตอนกลางคืนที่เครื่องบินได้บินมาทิ้งระเบิด ได้พบเห็นเป็นบุรุษขี่ม้าสีขาวอยู่บนท้องฟ้าคอยปัดลูกระเบิดลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาโดยไม่ให้ระเบิดตกลงมาถูกสะพาน และลูกที่ถูกสะพานก็ปรากฏว่าไม่แตกระเบิดแต่อย่างใด? ช่างน่าอัศจรรย์แท้! และเมื่อใกล้สว่างซึ่งเครื่องบินหยุดการโจมตีและบินกลับไปแล้ว ชาวบ้านได้มองเห็นว่าบุรุษผู้ขี่ม้าและม้าสีขาวตัวนั้นได้ลอยลงมาจากท้องฟ้าแล้วหายเข้าไปในอุโบสถของหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงนั้นเอง และเมื่อชาวบ้านได้ตามเข้าไปดูก็ไม่พบอะไร? แต่พบว่าที่แขนของหลวงพ่อโตมีรอยแตก? ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ! และอีกตัวอย่างหนึ่งที่เล่าสืบต่อกันมาและสะเทือนใจลูกหลานไทยมากมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือ ในคราวที่กรุงศรีอยุธยากำลังจะเสียกรุงครั้งที่๒ ให้กับพม่านั้น ชาวบ้านได้พบว่าหลวงพ่อโตได้มีน้ำตา(พระอัสสุ)ไหลออกจากพระเนตร(ตา)ไหลนองลงมาถึงพื้น เป็นที่สะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก หลังจากนั้นมาไม่นานกรุงศรีอยุธยาก็แตกและถูกพวกพม่าเผาทำลายวอดวาย ดังที่เราทราบกันดีอยู่แล้วนั้นเอง แต่สำหรับหลวงพ่อโตและวัดพนัญเชิงก็ปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นต้น
ทำไม?คนถึงมาที่วัดพนัญเชิงกันมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทำไม?หลวงพ่อโตถึงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก? ทำไม?ถึงต้องสร้างวัดพนัญเชิง ทำไม?ถึงสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่? ทุกคนอยากทราบและตัวกระผมเองก็อยากทราบ? จึงได้ทำการศึกษาค้นคว้ามาบ้างและได้สอบถามพระอริยะเจ้าผู้มีญานหยั่งรู้ทั้งในอดีตและอนาคตพบว่า
วัดพนัญเชิงนี้ แต่เดิมมิใช่ชื่อนี้ แต่มีชื่อว่า วัดพระนางเชิญ ซึ่งบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ประเสริฐ และสำคัญที่สุดแห่ง ราชอาณาจักรสยาม แห่งกรุงศรีอยุธยาท่านผู้นั้นก็คือ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง หรือ พระเจ้าอู่ทอง หรือ พระรามาธิบดีที่๑ ผู้ซึ่งก่อตั้งและสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีเมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๙๓ และเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยามนั้นเอง โดยในสมัยที่พระองค์ยังพึ่งจะเริ่มก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใหม่ๆ พระเจ้ากรุงจีนแห่งราชอาณาจักรจีน ได้มีบุตรีเป็นธิดาที่เกิดมาจากจั่นหมาก(ต้นหมากหรือต้นดอกหมาก) เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ซึ่งพระเจ้าจักรพรรดิกรุงจีนและพระมเหสีทรงปลื้มปิติในมหัศจรรย์และบุญญาธิการของทารกน้อยนี้ยิ่งนัก พระองค์ได้นำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งพระองค์ทั้งสองได้เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนพระธิดาอย่างดีสมเป็นขัตติยะนารีในราชสำนักทีเดียว และเมื่อเจริญพระชันษาในวัยสาว พระธิดาทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่งนัก จนเจ้าชายในราชสำนักและหัวเมืองประเทศราชตลอดจนเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายต่างก็หมายปอง พระเจ้าจักรพรรดิกรุงจีนมีพระประสงค์อยากจะให้พระธิดาที่พระองค์ทรงรักและหวงแหนยิ่งนักนี้ ได้เป็นพระมเหสีของเจ้าชายหรือกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการและทรงบรมเดชานุภาพให้สมกับราชอาณาจักรจีนอันยิ่งใหญ่และเกรียงไกรในยุคนั้น จึงได้ให้ซินแสประจำราชสำนักทำนายถึงเนื้อคู่ของพระธิดา พบว่าเนื้อคู่ของพระธิดาทรงเป็นกษัตริย์หนุ่มที่อยู่สยามประเทศ(เสียมก๊ก)ผู้ซึ่งมีบุญญาธิการมากหาผู้ใดเทียมได้ในยุคนั้น
พระเจ้ากรุงจีนทราบความดังนั้น จึงให้ราชทูตนำสาส์นไปถึงกษัตริย์หนุ่มเจ้ากรุงไทยแห่งราชอาณาจักรสยามผู้มีนามกรว่า เจ้าชายสายน้ำผึ้ง หรือที่รู้จักกันดีในนาม พระเจ้าอู่ทองนั้นเอง ให้มารับพระธิดาเจ้ากรุงจีนไปเป็นพระมเหสีเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ ๒ ราชอาณาจักรในยุคนั้น เมื่อความทราบดังนั้นพระเจ้าอู่ทองซึ่งกำลังก่อร่างสร้างราชอาณาจักร ซึ่งรากฐานยังไม่มั่นคงนัก และมีอันตรายรอบด้านจากต่างประเทศและราชอาณาจักรอื่นๆ เช่น ขอม ละโว้ สุโขทัย สุพรรณภูมิ ล้านช้าง ล้านนา เป็นต้น และในขณะนั้นพระองค์ก็ได้อภิเษกสมรสมีพระมเหสีคือพระธิดาแห่งราชอาณาจักรละโว้ผู้เป็นพระขนิษฐาของ ขุนหลวงพะงั่วแล้วนั้นเอง ดังนั้นพระองค์ ขุนนาง และเหล่าเสนาอำมาตย์ พร้อมด้วยพระมเหสี และพระราชชนนี(พระนางอุสา ส่วนพระราชบิดาของพระองค์คือ ท้าวแสนปมผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเช่นเดียวกัน ได้สวรรคตไปก่อนแล้ว) ได้มีการประชุมและลงความเห็นกันว่า ให้พระองค์เสด็จไปอภิเษกกับพระธิดาแห่งกรุงจีนเพื่อเป็นไมตรีและความมั่นคงของ๒ ราชอาณาจักรสืบไป พระองค์จึงได้จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคจะไปยังกรุงจีน ซึ่งเมื่อพระองค์เสด็จมาถึง แหลมกระจะอันเป็นที่ตั้งของวัดพนัญเชิงในปัจจุบันนี้ พระองค์ได้เสด็จขึ้นไปบนฝั่งและทรงพระราชดำเนินเข้าไปในวัดที่พระองค์กำลังก่อสร้างอยู่ ณ ที่แห่งนั้น แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จดี แล้วพระองค์ก็ได้กระทำการเสี่ยงทายและตั้งสัจจะอธิษฐาน ซึ่งเมื่อพระองค์อธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ปรากฏว่ามีน้ำผึ้งที่ผึ้งได้มาทำรังอยู่ที่คานพระอุโบสถนั้น ได้มีน้ำผึ้งหยดลงมาถึงพื้นเป็นสายน้ำเลยทีเดียว เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น แล้วพระองค์ก็ตรัสสินพระทัยว่าพระองค์จะเดินทางไปโดยเรือเพียงลำเดียวและให้มีองครักษ์ติดตามไปเพียงไม่กี่นายเท่านั้น แล้วก็ดำรัสให้กองทัพเรือและเหล่าทหารที่ติดตามมากลับไปอยู่รักษาพระนคร ซึ่งเหล่าทหารแม่ทัพนายกองต่างกังวลและตกใจเกรงว่าพระองค์จะเป็นอันตรายยิ่งนักแต่ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตาม
แล้วพระองค์ก็เดินทางข้ามทะเลมหาสมุทรอันกว้างใหญ่และอันตรายอย่างมาก ไปหาพระธิดาเจ้ากรุงจีนในประเทศจีน ซึ่งข่าวการเดินทางมาทางเรือด้วยพระองค์เองและด้วยเรือเล็กนั้น ก็ลือกระหึ่มไปทั่วราชสำนักจีน ต่างก็โจทย์ขานในบุญญาธิการและความกล้าหาญของกษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้ยิ่งนัก พระเจ้ากรุงจีนจึงรับสั่งให้เสนาบดีผู้ใหญ่ไปสืบดูว่าพระเจ้ากรุงไทยนั้นมีบุญญาธิการจริงหรือไม่ โดยให้เสนาบดีจีนออกไปทูลเชิญพระเจ้าสายน้ำผึ้งให้ประทับที่อ่าวนาค(อ่าวที่มีพญานาคดุร้าย) ซึ่งเป็นอ่าวที่ที่มีภยันตรายมาก ตกเพลาค่ำเสนาบดีจีนใช้ทหารไปสอดแนมดูว่า เหตุการณ์ร้ายแรงอันใดจะเกิดขึ้นหรือไม่? แต่กลับพบว่ามีแต่เสียงดุริยางค์ดนตรีเป็นที่ครึกครื้นและทรงพระเกษมสำราญพระทัยยิ่งนัก ในคืนต่อมาเสนาบดีจึงทูลเชิญเสด็จพระเจ้าสายน้ำผึ้งไปประทับที่มีอันตรายมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็คืออ่าวเสือ(มีเสือมากัดคนตาย) แต่เหตุการณ์ก็ยังเหมือนในคืนวันก่อน เมื่อพระเจ้ากรุงจีนได้ทรงทราบดังนั้นก็ทรงโสมนัสยิ่งนัก จึงมีรับสั่งให้จัดกระบวนแห่ออกไปรับเสด็จพระเจ้าสายน้ำผึ้งเข้ามาภายในพระราชวัง และจัดให้มีพิธีอภิเษกสมรสกับพระธิดาของพระองค์ให้ขึ้นเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ณ พระบรมมหาราชวังแห่งกรุงจีนนั้นเอง
ทั้งสองพระองค์ทรงดีพระทัยและปลื้มปิติเป็นล้นพ้น ต่างรักใคร่และหลงใหลในกันและกันยิ่งนัก ด้วยบุพเพสันนิวาสและบุญบารมีที่สร้างสมร่วมกันมาอย่างยาวนานนั้นเอง พระเจ้าสายน้ำผึ้งได้พระราชทานนามให้กับพระมเหสีของพระองค์เป็นชื่อภาษาไทยว่า สร้อยดอกหมาก ซึ่งเหมาะสมกันยิ่งนักระหว่าง สายน้ำผึ้งกับ สร้อยดอกหมาก และพระนางก็ได้ตั้งชื่อเป็นภาษาจีนเหมือนกันให้กับพระสวามี(แต่ลืมและเลือนหายกันไป เพราะประวัติพระเจ้าอู่ทองนั้น เป็นที่ยากแก่การศึกษา ค้นคว้า และมีมหัศจรรย์ตลอดจนปาฏิหาริย์มากที่สุด ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก่อนจะพระราชสมภพและที่มาของพระบิดาและพระมารดาแล้วนั้นเอง) และเมื่อกระทำพระราชพิธีและศึกษาเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีจีนต่างๆอยู่เป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว ทรงเห็นว่าภาระทางกรุงจีนเรียบร้อยและเหมาะสมแล้ว ก็ได้ร่ำลาพระเจ้ากรุงจีนกับพระมเหสี และอาณาประชาราษฎร์แห่งราชอาณาจักรจีนที่พระนางเกิดและเติบโตมา ไปสู่ดินแดนไกลโพ้นของพระสวามี อันเนื่องจากว่าภาระกิจของพระสวามีนั้นมีมากมายและใหญ่หลวงนัก เพราะพระองค์พึ่งจะเริ่มสถาปนาและก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาแห่งราชอาณาจักรสยามนั้นเอง
(...ถึงตรงนี้ผู้เขียนสะเทือนใจอย่างยิ่ง ไม่ขออธิบายในรายละเอียด สรุปก็คือ พระนางน้อยใจและแง่งอนพระสวามี จึงกลั้นใจตายในเรือสำเภา ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ตรงแหลมกระจะ ที่ตั้งแห่งวัดพนัญเชิงในปัจจุบันนี้นั้นเอง...)
พระเจ้าสายน้ำผึ้งหรือพระเจ้าอู่ทองทรงโศกเศร้าเสียพระทัยแทบจะวายปราน คิดไม่ถึงว่าพระนางอันเป็นมเหสีสุดที่รักที่พระองค์อุตส่าห์เสี่ยงภัยอันตรายข้ามน้ำข้ามทะเลและมหาสมุทรไปหา เพื่อทำการอภิเษกสมรสและนำมาเป็นพระมเหสีคู่พระทัย จะทรงน้อยพระทัยและกระทำอัตนิบาตกรรมเยี่ยงนี้ และเหล่าข้าทาส บาทจาริกาของพระธิดาที่ติดตามมาจากราชสำนักกรุงจีนทุกคนต่างก็เสียใจและได้ตัดสินใจกลั้นใจตายตามพระนางซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวของตนไปเช่นเดียวกัน
ฝ่ายพระเจ้าสายน้ำผึ้งนั้น ไม่มีใครเข้าพระทัยพระองค์ว่าพระองค์รู้สึกอย่างไร? และเจ็บปวดทุกข์ทรมานขนาดไหน?...พระองค์ได้สั่งให้ล่มสำเภาที่ขนทรัพย์สินเงินทองอย่างมากมายมหาศาลในห้าลำเรือสำเภาใหญ่จากกรุงจีนจมลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์ได้นำพระบรมศพของพระมเหสีมากอด ร่ำให้ อาลัยรัก และเฝ้าอยู่บนแหลมกระจะเป็นเวลานาน จนพระราชชนนีคือพระนางอุสาที่พระองค์ทรงรัก เคารพ และเทิดทูนยิ่งนักต้องเสด็จออกมาจากพระราชวังเพื่อมาปลอบใจและให้กำลังใจพระองค์ให้มีสติและระงับความโศกเศร้าและไม่ให้เสียราชการงานเมือง ซึ่งเป็นที่น่าสมเพชเวทนายิ่งนัก พระองค์ได้จัดพิธีพระราชทานเพลิงพระศพให้พระธิดาอย่างยิ่งใหญและสมพระเกียรติ และได้มีพระมหากรุณาให้สร้างวัดและพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดในยุคนั้น ซึ่งก็คือ หลวงพ่อโตนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความรักของพระองค์ที่มีต่อพระธิดาสร้อยดอกหมาก และเพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่พระมเหสีผู้เป็นที่รักและน่าสงสารพระองค์นั้น และพระองค์ก็ได้พระราชทานนามตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า วัดพระนางเชิญตั้งแต่บัดนั้นมา...
...ขอพระวิญญาณของพระนางจงสู่สุคติ และคอยปกป้องคนไทย คนจีน พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยทุกพระองค์ด้วยเทอญ...
...............................................................................
หมายเหตุ :
ที่วัดพนัญเชิงแห่งนี้มีศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากให้กราบไหว้สักการบูชาและขอพรกันอยู่ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
คนดีศรีอยุธยา/ศิษย์ตถาคต
๒๔ มกราคม ๒๕๕๕