ตำนานรักอมตะ
นางฟ้าหยาด-ท้าวจันทราช
..................................................................
ก. มูลเหตุจูงใจ
จากการศึกษาพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะธรรมะเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง ซึ่งมีตัวอย่างในนิทานชาดก(อันเป็นอดีตชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติที่ยังบำเพ็ญบุญบารมี ก่อนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาวนานมากในอดีตยากที่จะทำการสืบค้นได้ง่ายๆยกเว้นผู้มีอภิญญาญาณชั้นสูง หรือจากการสั่งสอนมาจากผู้รู้แจ้งจึงจะทราบได้ แต่ผู้เขียนก็อยากจะศึกษาเรื่องจริงของมนุษย์ในยุคปัจจุบันและอดีตที่ไม่นานมานี้ ที่พอจะสืบค้นและมีหลักฐานเป็นรูปธรรมให้เข้าใจได้ง่ายๆบ้าง ซึ่งมีเรื่องๆหนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแถวๆอีสานบ้านเกิดของผู้เขียน ซึ่งก็มีตำนานเล่าขานและมีหลักฐานให้ศึกษาอยู่ คือ เรื่อง นางฟ้าหยาดท้าวจันทราช ซึ่งเป็นเรื่องรักสะเทือนใจยิ่งนัก และได้เกิดโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์บนแผ่นดินที่เป็นภาคอีสานของประเทศไทย โดยมีการทำลายเผาบ้านเมืองเสียหายย่อยยับของมนุษย์ยุคโน้น อันเป็นตำนานที่เกิดขึ้นแถวๆจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ดของประเทศไทยในปัจจุบัน
ข. เนื้อเรื่องโดยย่อ
ในยุคอดีตของชาวอีสานประมาณช่วงพุทธศตวรรษที่๑๒ ได้มี ๔ ศรีพี่น้องเกิดเป็นโอรสของเจ้าเมืองหรือกษัตริย์แห่ง เมืองเชียงโสม พระบิดาชื่อ ท้าวเชียงคำ และพระมารดาชื่อ พระนางสุวรรณเทวี โดยพระโอรสองค์โตชื่อ เชียงสา องค์รองชื่อ เชียงสอง องค์ที่สามชื่อ เชียงสร้อย และองค์สุดท้องชื่อ เชียงเชิดซึ่งทั้งสี่พี่น้องรักใคร่สามัคคีและช่วยเหลือเกื้อกูลดูแลกันอย่างดีมาก เมื่อโตเป็นหนุ่ม คนโตได้ไปครองเมืองเป็นเจ้าเมืองเชียงสา คนรองก็ได้ไปครองและเป็นเจ้าเมืองเชียงสอง ส่วนเชียงสร้อยสืบทอดมรดกจากบิดามารดา และได้รับการอภิเษกเป็นเจ้าเมืองเชียงโสมคนใหม่นามว่า ท้าวจันทราช หรือ พญาจันทราช ซึ่งเป็นกษัตริย์หนุ่ม และให้เชียงเชิดเป็น อุปราช พญาจันทราชนั้นยังไม่มีพระมเหสี มีแต่นางสนมคอยปรนนิบัติรับใช้ พระองค์ชอบศึกษาหาความรู้ ชอบการต่อสู้ และชอบล่าสัตว์โดยเฉพาะการต่อนกต่อไก่ป่าตามป่าตามดงเป็นประจำ
ยังมีเมืองๆอีกเมืองหนึ่ง คือ เมืองฟ้าแดด เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมีความอุดมสมบรูณ์มาก ผู้ปกครองเมือง คือ พญาฟ้าแดด มีพระมเหสีชื่อ นางจันทาเทวี หรือ นางเขียวค่อม ทั้งสองพระองค์มีพระธิดาแสนสวยชื่อว่า พระธิดาฟ้าหยาด หรือ นางฟ้าหยาด เป็นผู้ที่มีสิริโฉมงดงามมาก เป็นที่หวงแหนของพระราชบิดาและพระราชมารดามากยิ่งนัก เล่าลือกันว่าพระนางรูปร่างสวยงาม ผิวขาว แขนเรียวคิ้วโก่งดังคันธนู คอปล้อง นมตั้งพองาม ผมดำเลื่อม สลวยเนื้ออ่อนละมุนเหมือนสำลี สวยงามดั่งสวรรค์สร้าง สวยงามดังเทพธิดาหยาดมาจากฟ้ามาเกิดเลยทีเดียว พญาฟ้าแดดให้ช่างสร้างปราสาทเสาเดียวไว้กลางน้ำ โดยใช้หินศิลาแลงในการก่อสร้างบริเวณนี้ปัจจุบันเรียกว่า โนนฟ้าแดด นอกนั้นยังมีการขุดสระไว้รอบเมือง และมีสระน้ำให้พระธิดาไว้สรงสนานด้วย เมื่ออาบและเล่นน้ำเสร็จแล้วก็จะขึ้นมาแต่งตัวบนเนินที่ทำไว้ ในปัจจุบันนี้เรียกว่า โนนสาวเอ้ นอกจากนี้ยังสร้างคูค่ายและเชิงเนิน มีหอรบอย่างแข็งขัน ซึ่งสระที่ขุดไว้ในปัจจุบันเป็นหนองน้ำสาธารณะไปแล้ว พญาฟ้าแดดนั้นหวงพระธิดาฟ้าหยาดราวกับจงอางหวงไข่เลยทีเดียว พระองค์ได้มีพระราชโองการห้ามไม่ให้ผู้ชายคนใดเข้าไปในเขตสวนอุทยานและปราสาทของนางอย่างเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนมีโทษประหาร เมืองฟ้าแดดมีเมืองลูกหลวง คือ เมืองสงยาง มีต้นยางสูงใหญ่ และสวยงามอยู่รายรอบ บางทีก็เรียก เมืองสูงยาง โดยมอบให้พระอนุชาชื่อ พญาอิสูรย์ หรือ เจ้าฟ้าระงึม เป็นผู้ปกครองเมืองนี้ ซึ่งเมืองทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณ ๒ กิโลเมตร สามารถช่วยเหลือและป้องกันอริราชศัตรูที่จะมารุกรานได้อย่างสะดวก คนเลยนิยมเรียกรวมกัน เมืองฟ้าแดดสงยาง หรือ เมืองฟ้าแดดสูงยางนั้นเอง
พระธิดาฟ้าหยาดเมื่อเติบโตเป็นสาววัยประมาณ ๑๕ ปีกว่าๆ ก็รู้สึกในพระทัยแปลกๆและมีนิมิตฝันว่ามีพญางูใหญ่มารัดพระองค์ ทำให้ตกใจกลัวแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา และได้เล่าความฝันให้พระพี่เลี้ยงฟัง พระพี่เลี้ยงบอกว่าโบราณว่าฝันว่างูรัดจะเจอเนื้อคู่ พระนางเขินอาย แต่จะเจอชายเนื้อคู่ได้อย่างไร เพราะพระบิดาและพระมารดาไม่อนุญาตให้ชายใดได้มีโอกาสพบเจอกับพระนางเลย พระพี่เลี้ยงกับพระธิดาจึงตกลงปลงใจกันว่าให้กระทำ พิธีเสี่ยงสร้อยหรือ "เสี่ยงมาลัย" เพื่อหา เนื้อคู่ โดยให้พระธิดาร้อยดอกไม้พวงมาลัยเป็นสร้อยมาลัย แล้วทำการตั้งสัจอธิษฐาน หากชายใดเป็นเนื้อคู่ของพระนาง ก็ให้ได้พบเจอสร้อยมาลัยและเก็บสร้อยมาลัยนี้ได้ ซึ่งพระนางทำอย่างตั้งใจพิถีพิถันและนำไปไว้ในอุทยานโดยไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากนักว่าจะมีโอกาสเป็นจริง เพราะคิดว่าไม่มีชายใดกล้าเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้นั้นเอง
ครั้งหนึ่งพญาจันทราชได้ออกล่าสัตว์และทำการต่อนกต่อไก่ป่า โดยครั้งนี้ได้มุ่งหน้าลงทางใต้จนถึงหนองเลิง พระองค์ได้ตามไก่ป่าตัวหนึ่งที่สวยงาม และมีเสียงขันที่ไพเราะมาก พระองค์ติดตามอย่างไรก็จับไม่ได้ พระองค์ก็ไม่ลดละ และได้ติดตามจนกระทั่งพระองค์ได้หลงทางเข้าไปในอุทยานของนางฟ้าหยาด แทนที่พระองค์จะได้พบไก่ตัวนั้น แต่ไม่รู้ไก่ตัวนั้นหายไปไหน พระองค์เฝ้าค้นหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ แต่ได้เจอกับสร้อยมาลัยเสี่ยงคู่แทน พระองค์จึงหยิบมาพิจารณา เมื่อคนดูแลสวนมาพบเข้าก็สอบถามว่าท่านเป็นชายเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้ได้อย่างไร พระองค์อธิบายว่า ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงล้ำเข้ามาในเขตหวงห้ามนี้แต่อย่างใดเพราะพระองค์ไม่รู้ พระองค์เพียงติดตามไก่ป่ามาถึงที่นี้เท่านั้น คนรับใช้ของพระนางฟ้าหยาดทราบดังนั้น จึงรีบเข้าเฝ้าพระธิดาฟ้าหยาด พระนางตกใจและรู้สึกแปลกประหลาดมาก จึงให้นำท้าวจันทราชมาพบที่ปราสาทของพระนางได้
และแล้วเมื่อทั้งคู่ได้พบกัน ต่างก็ต้องตกตะลึง เหมือนโลกหยุดหมุน ทั้งสองพระองค์ต่างเกิดความรู้สึกรักใคร่ผูกพันในกันและกันยิ่งนัก พระธิดาฟ้าหยาดสวยงามถูกใจท้าวจันทราชยิ่งนัก พระองค์ไม่เคยเห็นใครที่งามเพียบพร้อมอย่างนี้มาก่อน พระธิดาฟ้าหยาดก็เหมือนกัน ไม่เคยเห็นชายใดที่จะสง่างามถูกใจเช่นนี้มาก่อน ทำให้นึกถึงความฝันที่พญางูใหญ่มารัดพระนางก็ยิ่งตื่นเต้นและหวั่นไหวในพระทัยยากที่จะบรรยาย ทั้งคู่มีความรักและรู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้อยู่ร่วมกันมาก่อน และดูเหมือนกับว่าคนที่ต้องการและเฝ้าติดตามหาทั้งชีวิตคือคนที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้นั้นเอง ทั้งคู่ทักทายปราศรัยและถามไถ่ความเป็นมาของกันและกันตามมารยาท ฝ่ายพญาจันทราชนั้นหลงรักพระนางจนไม่ยอมกลับเมือง พระองค์ได้ตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆกับอุทยานนั้นเอง แล้วในตอนกลางคืนพระองค์ก็ได้แอบขึ้นไปบนปราสาทเพื่อไปหาพระนางผู้เป็นที่รักนั้นเอง และแล้วทั้งสองพระองค์ก็ได้เป็นสามีภรรยากันสมใจปรารถนาของทั้งคู่ ทั้งสองพระองค์อยู่ด้วยกันนานวัน โดยปกปิดเป็นความลับและบริวารของพระธิดาทั้งหลายต่างก็เป็นใจให้ทั้งคู่ได้สมหวังในรักที่รอคอย และเมื่อนานวันเกรงว่าความลับจะรั่วไหลจะทำให้พระนางต้องเดือดร้อน ซึ่งท้าวจันทราชก็ต้องจำใจจากลากลับบ้านเมืองเพื่อว่าราชการที่จากมาหลายวัน โดยสัญญาว่าจะส่งอำมาตย์ผู้ใหญ่มาสู่ขอพระนางไปเป็นมเหสีร่วมกันปกครองเมืองเชียงโสมต่อไปอย่างแน่นอน
แต่ความลับได้รั่วไหลเพราะคนรับใช้บางคนที่ไม่ชอบท้าวจันทราช เพราะตนแอบหลงรักท้าวจันทราชแต่พระองค์ไม่เหลียวมองและยินดีนางใดเลยนอกจากพระธิดาฟ้าหยาดเท่านั้น จึงได้นำเรื่องของทั้งสองไปทูลให้พญาฟ้าแดดทรงทราบ พระองค์ทรงกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟ สอบถามว่าชายใดก็กล้าขัดพระราชโองการของพระองค์ พอทราบว่าเป็นกษัตริย์หนุ่มจากเมืองเชียงโสม ก็เดือดดาลยิ่งนัก ที่อาจหาญกระทำหยามน้ำใจกันเช่นนี้ เมื่อพญาจันทราชได้เดินทางกลับถึงเมืองเชียงโสม แล้วได้มอบหมายให้อำมาตย์คู่ใจคือ ขุนเส็งและขุนคานนำเครื่องบรรณาการมาสู่ขอนางฟ้าหยาดทันที ครั้นเมื่ออำมาตย์และเถ้าแก่มาจากเมืองเชียงโสม ได้ขอเข้าเฝ้าเพื่อมอบเครื่องราชบรรณาการและสู่ขอพระธิดาฟ้าหยาดไปเป็นพระอัครมเหสีของท้าวจันทราชแห่งเมืองเชียงโสมเพื่อความเป็นปฐพีเดียวกันต่อไป เมื่อพญาฟ้าแดดได้พบเจอและรู้ว่าเป็นเหล่าอำมาตย์และเถ้าแก่จากเมืองเชียงโสมซึ่งมาสู่ขอลูกสาวของตน ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ยังไม่ได้ทันที่จะได้เจรจาความใดๆพอรู้ว่ามาจากเมืองเชียงโสม ก็ทรงไล่ตะเพิดให้รีบหนีไป และตรัสว่าจะไม่ยอมยกพระธิดาให้ท้าวจันทราชอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ท้าวจันทราชกษัตริย์หนุ่มทรงผิดหวังและเสียพระทัยยิ่งนัก ทรงเป็นทุกข์ใจอย่างมากไม่เป็นอันว่าราชการ ทรงครุ่นคิดถึงแต่พระธิดาฟ้าหยาดทุกคืนวัน พระองค์ไม่มีทางออกจึงปรึกษาอำมาตย์และเหล่าทหารเมืองเชียงโสมว่าจะกระทำอย่างไรดี จึงจะได้พระนางมาเป็นมเหสี ที่ประชุมตกลงเห็นว่าให้ยกกองทัพไปกดดันเพื่อเจรจาอีกที หากไม่ยอมก็ต้องรบกันเพื่อแย่งชิงพระธิดาฟ้าหยาดให้ได้ พระองค์ไม่มีทางเลือกพระองค์ไม่ได้คิดจะฆ่าใครและจะย่ำยีหรือเอาบ้านเมืองของใคร พระองค์ต้องการภรรยาของพระองค์มาเป็นพระมเหสีคู่พระทัยก็เท่านั้น พระองค์จึงไม่ได้ปรึกษาและขอความร่วมมือจากพระเชษฐาทั้งสองของพระองค์แต่อย่างใด พระองค์ขณะนี้มีความรักเข้าตาซะแล้ว การพิจารณาและตัดสินพระทัยใดๆไม่แจ่มใส พระองค์ไร้กลยุทธ์และแผนการณ์ ใดๆ พระองค์คิดถึงแต่หน้าคนรักเท่านั้น ผิดกับทางเมืองฟ้าแดดซึ่งพญาฟ้าแดดกษัตริย์ชาตินักรบและนักวางแผนได้คาดการณ์ว่าจะมีทัพจากเชียงโสมมาบุกและกระทำ "ศึกชิงนาง"อย่างแน่นอน จึงได้วางกลศึกและทำการเตรียมการอย่างดี อีกทั้งได้เรียกพระอนุชาฟ้าระงึมตลอดจนกองทัพจากเมืองสูงยางมาช่วยรบอีกด้วย
เมื่อสองทัพเผชิญหน้ากัน ท้าวจันทราชขอเจรจาและขอยอมรับผิดที่บุกเข้าในเขตหวงห้ามอันเป็นการขัดพระราชโองการ แต่เพราะพระองค์มาจากเมืองอื่นไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเขตหวงห้ามจึงได้พลัดหลงเข้าไป อันแผนการของพญาฟ้าแดดและเจ้าฟ้าระงึมพระอนุชาแม่ทัพของเมืองฟ้าแดดสูงยางนั้น คือให้หลอกว่าจะยอมเจรจา แล้วหลอกจับตัวท้าวจันทราชไปคุมขังเพื่อพิจารณาโทษต่อไป ซึ่งท้าวจันทราชไม่ต้องการให้คนอื่นเดือดร้อนและล้มตายเพราะพระองค์แต่อย่างใด จึงขอเจรจาโดยสันติ พระองค์กับทหารคู่พระทัยเพียงสองคนจะเข้าไปเจรจาในเมืองฟ้าแดด ครั้นตกลงตามนั้นพระองค์และทหารคู่พระทัยจึงออกหน้าทัพแล้วเข้าไปในกองทัพของเมืองฟ้าแดด เมื่อพระองค์เข้าไปถึงในเขตพระนคร ทหารเมืองฟ้าแดดก็ปิดประตูเมือง และแทนที่จะมีการเจราจากลับสั่งทหารให้รุมจับพระองค์เพื่อกักขังรอการลงอาญาโทษต่อไป เมื่อพระองค์รู้อย่างนั้นพระองค์ก็ไม่ยอมและขอสู้ตาย พระองค์จึงถูกทหารเมืองฟ้าแดดรุมทำร้าย พระองค์สู้สุดฤทธิ์ไม่ยอมให้จับกุมแต่ประการใด และแล้วพระองค์ก็ถึงแก่สวรรคตพร้อมกับทหารองครักษ์ทั้งสองในเมืองฟ้าแดดของคนรักของพระองค์นั้นเอง ฝ่ายกองทัพเมืองเชียงโสมที่อยู่ข้างนอกเมืองฟ้าแดดพอรู้ข่าวก็สลดใจ และเสียใจยิ่งนักไม่มีจิตใจที่จะรบต่อไป จึงยกทัพกลับเมืองของตน แล้วก็รีบไปแจ้งข่าวให้เชียงสาและเชียงสองผู้พระเชษฐาของท้าวจันทราชทราบในทันที
ฝ่ายพระธิดาฟ้าหยาดทราบว่าคนรักของพระนางโดนกลศึกยอมเข้ามาเจรจากับพระบิดาด้วยใจซื่อ และโดนจับกุมแต่ไม่ยอมให้จับกุมได้สู้ตายพร้อมทหารองครักษ์คู่พระทัยจนตัวตายในเมืองของพระนางนั้นเอง พระองค์ทรงโศกเศร้าเสียพระทัยและสะเทือนพระทัยยิ่งนัก ทรงรักและสงสารพระสวามีที่จบชะตากรรมเพราะรักพระองค์โดยไม่คำนึงถึงชีวิตและกลศึกใดๆเลย พระนางตรอมใจไม่ทรงอาลัยในชีวิตและทรัพย์สมบัติใดๆอีกต่อไป พระนางอยู่ในโลกนี้ไม่ได้หากไม่มีคนรักของพระนาง พระธิดาฟ้าหยาดไม่ยอมเสวยน้ำและพระกระยาหารใดๆเลย แล้วพระนางก็ตรอมใจตายบนปราสาทในอุทยานตามคนรักของพระนางไป
ฝ่ายพญาฟ้าแดดและพระนางจันทาเทวีทราบเรื่องและความเป็นไปทั้งหมดก็โศกเศร้าและสะเทือนใจยิ่งนัก พอได้สติก็ตัดสินพระทัยให้สร้างหีบศพใหญ่อย่างดีและสวยงามแล้วให้นำศพของทั้งท้าวจันทราชและพระนางฟ้าหยาดมาทำการบรรจุในหีบศพนั้นด้วยกัน แล้วทำการหล่อพระพุทธรูปด้วยทองคำ และได้บอกบุญชาวเมืองฟ้าแดดและเมืองสูงยาง ให้หล่อพระพุทธรูปตามศรัทธาจะเป็นทองคำ เป็นเงิน เป็นดิน เป็นอิฐ เป็นหิน และเป็นปูนก็ได้ตามศรัทธาให้ได้ครบ ๘๔,๐๐๐ องค์ เพื่อบรรจุในสถูปเจดีย์ที่สร้างหุ้มหลุมฝังศพของทั้งคู่ เพื่อสร้างบุญกุศลอุทิศให้กับทั้งคู่และชดใช้กรรมที่ได้ทรงกระทำกับทั้งสองพระองค์ลงไป อีกทั้งยังสร้างไว้เป็นพุทธบูชาสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยาวนานสืบไป ซึ่งปัจจุบันพระสถูปนี้ก็คือ พระธาตุยาคู หรือ พระธาตุใหญ่ที่ยังหลงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์และเป็นพยานหลักฐานมาจนถึงทุกวันนี้นั้นเอง
แต่ความเดือดร้อนวุ่นวายใหญ่หลังจากนั้นกำลังจะเกิดขึ้นกับเมืองฟ้าแดดสูงยาง เมื่อท้าวเชียงเชิดหรือพญาธรรมซึ่งเป็นพระอนุชาองค์สุดท้อง ได้นำข่าวไปแจ้งให้กับพระเชษฐาทั้งสองคือท้าวเชียงสา และท้าวเชียงสองได้ทราบข่าวว่าพระอนุชาคือพญาจันทราชหรือท้าวเชียงสร้อยโดนกลศึกและถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายในเมืองฟ้าแดดสูงยางนั้น ทั้งสองพระองค์ทรงกริ้ว และเดือดดาลในพระทัยยิ่งนัก จึงได้ลั่นวาจาประกาศว่าจะถล่มเมืองฟ้าแดดสูงยางให้พินาศย่อยยับไปให้สิ้นซาก สองกษัตริย์ชาตินักรบถึงแม้จะพิโรธจัดเพราะรักน้อง แต่อดทนและข่มพระทัยไว้ก่อนไม่บุ่มบ่ามให้เสียการใหญ่ จึงได้ปรึกษาและร่วมกันวางแผนทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ให้สิ้นซากอย่างมีกลยุทธ์และรอบคอบ ทั้งนี้นอกจากกองทัพจากเมืองเชียงสาและเมืองเชียงสองของทั้งสองพระองค์กับทหารเมืองเชียงโสมของพระอนุชาที่จากลาไปแล้วนั้น ซึ่งบัดนี่ท้าวเชียงเชิดหรือพญาธรรมได้ปกครองบ้านเมืองแทน ทั้งสามพี่น้องได้ไปขอความร่วมมือและเกณฑ์ไพร่พลจากเมืองพันธมิตรคือ เมืองเชียงเครือ เมืองท่างาม เมืองน้ำดอกไม้ เมืองสาบุตร และ เมืองกุดดอก รวมกันเป็นกองทัพใหญ่และมีความพร้อมในการทำศึกสงครามมาก เมื่อได้เพลาและฤกษ์ศึกสงคราม ก็เคลื่อนพลมุ่งสู่เมืองฟ้าแดดสูงสูงยางพร้อมกันทันที
ฝ่ายเมืองฟ้าแดดสูงยางที่กำลังอยู่ในช่วงไว้อาลัยหลังจัดงานพิธีศพและยังโศกเศร้าในพระธิดาฟ้าหยาดและความรักในสองพระองค์อยู่ ซึ่งทหารเองก็มีทั้งสลดใจและชะล่าใจในกลศึกที่เอาชนะสงครามและเอาชีวิตของท้าวจันทราชได้ในคราวก่อน ทำให้ความพร้อมในการรบด้อยกว่ากองทัพที่กำลังยกมาประชิดอยู่ในขณะนี้ ทั้งๆที่ยกทัพมาไกลแต่มีความหึกเหิมและพร้อมรบเพื่อแก้แค้นให้นายน้อยผู้จากไปอย่างน่าสงสารนั้นเอง และแล้วสงครามก็ระเบิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นศึกใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินอีสานแถบนั้นในยุคโน้นเลยก็ว่าได้ กองทัพของเชียงสอง เชียงสา และพันธมิตรบุกเข้าบดขยี้เมืองฟ้าแดดและเมืองสูงยางพร้อมกันทุกทิศทางอย่างบ้าระห่ำ ด้วยพระราชโองการทัพแห่งท้าวเชียงสาและท้าวเชียงสองที่ประกาศว่าจะไม่ไว้ชีวิตคนที่ทำร้ายชีวิตพระอนุชาของพระองค์ และจะทำลายบ้านเมืองที่ใจร้ายและทำลายพระอนุชาและความรักของทั้งสองให้สิ้นซากให้จงได้ พญาฟ้าแดดได้เข้าสู้สุดฤทธิ์และถูกฟันพระศอขาดบนคอช้างศึกตายในสนามรบ ส่วนพญาฟ้าระงึมแห่งเมืองสูงยางก็ถูกจับตัวได้และถูกประหารโดยการตัดคอตายในสนามรบเช่นเดียวกัน
ในที่สุดกองทัพและทหารเมืองฟ้าแดดสูงยางก็พ่ายแพ้เสียหายย่อยยับ ประชาชนล้มตายเลือดนองแผ่นดิน บ้านเรือนและวัดวาอารามพังเสียหายวอดวายไปทั้งหมด ยกเว้นอยู่เพียงแห่งเดียว คือ สถูปที่สร้างหุ้มพระศพของท้าวจันทราชกับพระนางฟ้าหยาด ซึ่งนอนสงบนิ่งในโลงศพอันเดียวกันที่ฝังอยู่ใต้ฐานพระสถูปเจดีย์แห่งนั้น โดยทั้งสองพระองค์เป็นน้องชายและน้องสะใภ้ของท้าวเชียงสาและท้าวเชียงสอง ผู้เป็นแม่ทัพและเป็นผู้ชนะศึกสงครามครั้งนี้นั้นเอง
ค. บทสรุป
๑. ความรักทำให้คนตาบอด
๒. ที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์
๓. รักแท้แม้ต้องตายก็ยอม
๔. การใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล นำมาซึ่งความพินาศย่อยยับมาสู่ตนเอง ครอบครัว วงศ์ตระกูล บ้านเมือง และราชอาณาจักรได้
๕. กลศึกสงครามหากไม่แจ่มแจ้งในกลศึก ย่อมนำมาซึ่งความตายและความพ่ายแพ้ในที่สุด
๖. เนื้อคู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก!(บุพเพสันนิวาส)
๗. นักปราชญ์และบัณฑิตทั้งหลายในสมัยก่อนท่านสอนพวกเราไว้ว่า ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจเราหนา
..................................................................
หมายเหตุ :
๑. "เมืองฟ้าแดดสูงยาง"ในสมัยโน้นยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมาก ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ในปัจจุบัน
๒. พระสถูปหุ้มพระศพของท้าวจันทราชและพระนางฟ้าหยาด ก็คือ พระธาตุยาคู หรือ พระธาตุใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งนาบ้านเสมา
ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ในปัจจุบัน
๓. การฟ้อนรำ "นาฏลีลาฟ้าหยาด"ของวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์และวิทยาลัยนาฏศิลป์ต่างๆ ซึ่งสวยงามหยดย้อยนั้น ยังแฝงไว้ซึ่งตำนานรักอมตะและความเศร้าซึ้งให้สัมผัสได้
(...จากตำนานที่เป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน อาจจะมีความคลาดเคลื่อนแต่ก็คงแฝงไว้ด้วยความจริงไว้บ้าง...)
ศิษย์ตถาคต
๑๖ เมษายน ๒๕๕๕
http://www.youtube.com/watch?v=SHmIAITjq-Y