ตำนานอมตะ
นางไข่ฟ้า-ท้าวสุพรหมโมกขา
***********************
เรื่อง“นางไข่ฟ้า-ท้าวสุพรหมโมกขา”นี้ มีตำนานเกี่ยวพันกันกับภูเขาในเขต“อุทยานแห่งชาติภูเก้าและภูพานคำ”ในเขตติดต่อกัน ๓ จังหวัดคือ หนองบัวลำภู อุดรธานี และขอนแก่น ซึ่งดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ อันเนื่องจากว่าจะเป็นพื้นดินเป็นเนินสูงหรือเป็น “โนน” หรือเป็น “มอ” ที่แปลกประหลาดมากก็คือว่า สีของพื้นดินบริเวณต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตำนานนี้ จะมี “สีแดง” หรือ “สีอิฐ” โดยผู้คนทั่วต่างขนานนามและรู้จักกันดีเกี่ยวกับพื้นดินแห่งนี้ว่า "มอดินแดง" นั้นเอง ซึ่งยังให้ปรากฏเห็นและสัมผัสได้จนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็น "พรหมนิมิต" หรือ "เทพนิมิต" ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ทำการศึกษาและค้นคว้ากัน แปลกแต่จริง! หลังจากเหตุการณ์ในโบราณกาลนั้นมา ณ พื้นดินแห่งนี้ได้เกิดมี "สำนักตักศิลา" คือมี "สถาบันการศึกษาชั้นสูง" ที่ดีและมีชื่อเสียงที่สุดบนแผ่นดินภาคอีสานของประเทศไทย และยังมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับกันทั้งในระดับประเทศจนถึงระดับโลกเลยทีเดียว ดังตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันนี้ว่า
ในอดีตกาลนานมาแล้ว ในแถบตอนกลางของภาคอีสานของประเทศไทยในปัจจุบัน “ท้าวสุพรหมโมกขา” ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ที่จุติ (เคลื่อน หรือ ตาย) ลงมาปฏิสนธิ (เกิด) เพื่อสร้างสมบุญบารมีบนโลกมนุษย์ โดยเกิดเป็นลูกชายคนเดียวของ “นายพรานป่า” ทุคคตะเข็ญใจและยากจนคนหนึ่ง ซึ่งเขาต้องกำพร้าแม่มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก คือหลังจากเขาคลอดออกมาได้เพียง ๗ วันแม่ของเขาก็ได้เสียชีวิตลง พ่อของเขาต้องไปหาขอน้ำนมจากหญิงชาวบ้านที่เป็นแม่ลูกอ่อนมาเลี้ยงเขา โดยในตอนท้าวสุพรหมโมกขาเกิดมานั้น ได้มีสุนัขประหลาด “สี่เท้าเก้าหาง” เกิดมาคู่บุญบารมี (สหชาติ) ด้วย ซึ่งบิดาของสุพรหมโมกขาได้พร่ำสอนลูกชายบ่อยๆ ว่าให้เป็นคนดี และใฝ่ศึกษาหาความรู้ ที่สำคัญบิดาได้สั่งลูกชายไว้ว่าเมื่อบิดาเสียชีวิตไปแล้วให้นำกะโหลกศรีษะของพ่อไปสักการะบูชา โดยไม่ต้องนำไปเผาหรือฝังแต่อย่างใด ซึ่งจะทำให้ดินดีอุดมสมบูรณ์ ปลูกพืชอะไรก็จะได้ผลดีและเจริญงอกงามนั้นเอง
เมื่อสุพรหมโมกขาเติบโตพอที่จะเรียนหนังสือได้แล้ว บิดาของเขาได้นำไปฝากไว้กับ “พระฤาษี” ตนหนึ่ง เพื่อเรียนวิชาต่างๆ ร่วมกับเจ้าชายราชบุตรของผู้ครองหัวเมืองต่างๆ และลูกคหบดีเศรษฐีต่างๆ จนกระทั่งเล่าเรียนจนสำเร็จวิชาวิทยาการ แล้วต่างคนก็กราบลาพระฤาษีเพื่อกลับบ้านเมืองของตนเอง
ในระหว่างที่เขาได้ศึกษาพระอาจารย์ซึ่งเล่าเรียนจนจบแล้วและกำลังเตรียมตัวเดินทางกลับนั้น นายพรานป่าบิดาของท้าวสุพรหมโมกขาได้รับอุบัติเหตุและได้เสียชีวิตไปก่อนที่สุพรหมโมกขาจะเดินทางกลับมาถึง ท้าวสุพรหมโมกขาพอทราบข่าวก็รีบเดินทางกลับมา และได้ทำปราสาทผึ้งมาด้วย โดยได้แห่ปราสาทผึ้งจะมาร่วมงานศพบิดาของตน แต่ก็มาไม่ทันพิธีจึงได้ทิ้งปราสาทผึ้งเกลื่อนบริเวณไปหมด ในกาลต่อมาได้กลายเป็นหินรูปต่างๆ อย่างน่าประหลาดชาวเมืองเรียกกันว่า "หินปราสาท" ส่วน “เจ้าเชียงสีห์” เพื่อนรักของสุพรหมโมกขาแห่ง “เมืองภูเวียง” ก็ได้ทำบุญถวายสังฆทานอุทิศไปให้บิดาของเพื่อนด้วย ซึ่งบริเวณนี้เรียกว่า "ลาดเชียงสีห์" หลังจากจัดงานศพของบิดาแล้ว ท้าวสุพรหมโมกขาได้นำเอา “กะโหลกศรีษะ” ของบิดามาตั้งไว้บนหิ้งเพื่อบูชาในกระท่อมน้อยของเขาในป่า โดยเขาจะทำการกราบไหว้และสักการะบูชาทุกวันด้วยความเคารพและสำนึกในพระคุณของบิดาบังเกิดเกล้าของเขานั้นเอง โดยเขาได้ยึดอาชีพทำไร่ ทำนา และเข้าป่าตัดฟืนมาขาย ขุดเผือกขุดมันและกลอยมากินเป็นอาหารเลี้ยงชีวิต โดยไม่ได้ยึดอาชีพเป็นพรานป่าที่ต้องล่าสัตว์เหมือนดังบิดาของเขาแต่อย่างใด
เมื่อท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) ผู้อยู่บนสรวงสวรรค์ทราบถึงความเดือดร้อนของท้าวสุพรหมโมกขา จึงได้ส่ง “นางไข่ฟ้า” ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระองค์เอง โดยให้หลบซ่อนอยู่ใน “ไข่ฟ้า” ลูกใหญ่ฟองหนึ่ง โดยได้นำไปวางไว้ในป่าซึ่งเป็นที่ดินทำกินของเขา แล้วสุนัขเก้าหางได้ไปพบเข้า จึงเห่าเสียงดังไม่ยอมหยุด สุพรหมโมกขาจึงเดินตามมาดู ซึ่งเขาต้องประหลาดใจอย่างมากที่ไข่นั้นฟองใหญ่มาก แล้วพระอินทร์ก็ได้ดลจิตดลใจให้สุพรหมโมกขานำไข่นั้นมาเก็บไว้ในกระท่อมของเขา โดยองค์อินทร์ต้องการให้นางไข่ฟ้ามาอยู่ด้วย เพื่อคอยช่วยเหลือและปรนนิบัติท้าวสุพรหมโมกขานั้นเอง เมื่อท้าวสุพรหมโมกขาเข้าป่าหาตัดฟืนและหาอาหาร นางไข่ฟ้าจะออกมาจากที่ซ่อนแล้วปัดกวาดทำความสะอาดบ้านและประกอบอาหารไว้รอคอยเขากลับมา หลังจากนั้นจะเข้าไปหลบซ่อนตัวในไข่ฟ้าใบนั้นตามเดิม ตอนแรกท้าวสุพรหมโมกขาคิดว่าชาวบ้านป่าในแถบนี้คงจะเห็นใจและสงสารจึงมาช่วยสงเคราะห์ตน ซึ่งท้าวสุพรหมโมกขาด้วยความหิวก็รับประทานอาหารซึ่งมีรสชาติอร่อยถูกอกถูกใจยิ่งนัก และได้แบ่งอาหารนั้นให้สุนัขเก้าหางกินด้วย เมื่อสุนัขนั้นได้กินก็สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่ครั้นนานวันเข้าท้าวสุพรหมโมกขาก็เริ่มสงสัย
แล้ววันหนึ่งเขาจึงทำทีเข้าป่าตัดฟืนตามปกติ แต่ย้อนกลับมาที่บ้านแอบดู จึงได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด ซึ่งนางไข่ฟ้าก็รับรู้ทุกอย่างแต่ก็ทำตัวตามปกติ ท้าวสุพรหมโมกขาจึงย่องเข้าไปเอาไข่ฟ้าไปซ่อนเสียที่อื่นเสีย แล้วก็มาดักพบนาง ทั้งสองจึงได้พบกัน ท้าวสุพรหมโมกขาต้องตกตะลึงในความสวยงามและกริยามารยาทอันงดงามไม่เหมือนชาวบ้านชาวป่าแต่อย่างใด แต่นางมีรูปร่างผิวพรรณสวยงามราวกับนางฟ้าหรือเทพธิดาที่ลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์เลยทีเดียว เขาได้สอบถามนางถึงความจริงต่างๆ ของนาง ซึ่งทั้งคู่ต่างก็มีจิตปฏิพัทธ์ในกันและกันเหมือนกับว่าเคยเป็นคู่สามีภรรยากันมาอย่างยาวนานแล้วนั้นเอง
แล้วทั้งสองก็ได้เกิดมีความรักและได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กินเป็นสามีภรรยากันอย่างมีความสุขในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เนื่องจากนางไข่ฟ้าเป็นนางฟ้าที่มีรูปโฉมงดงามมาก จนเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วเขตคามในเรื่องความงามของนาง จนได้เลื่องลือไปถึง “เจ้าเมืองอุตตระ” ผู้ไร้คุณธรรม และได้พยายามหาอุบายแย่งชิงเอาตัวนางไข่ฟ้าไปเป็นมเหสีของตนด้วยกลวิธีต่างๆ โดยได้เรียกตัวท้าวสุพรหมโมกขาเข้าไปพบในพระราชวังและสั่งให้เขาไปเอาไก่มาชนกัน โดยสัญญาว่าถ้าไก่ของเขาชนะก็จะยกเมืองอุตตระให้ครอบครองแทน แต่ถ้าไก่ของเจ้าเมืองชนะ แล้วเจ้าเมืองจะยึดเมียของเขาไปเสีย เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องตกลง แล้วเขาก็กลับบ้านมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจคิดว่าจะทำอย่างไรดี ฝ่ายเมียเมื่อทราบเรื่องก็เอาข้าวเปลือกมาหว่านที่หน้าบ้านแล้วก็มี “อีเห็น” ตัวหนึ่งมากินข้าว เมียเขาจึงได้เสกคาถาให้อีเห็นเป็นไก่แล้วบอกให้ผัวเอาไปชนกับไก่เจ้าเมือง เขาจึงเดินทางไปชนไก่กับเจ้าเมือง ไก่ของเจ้าเมืองก็แพ้ แต่เจ้าเมืองไม่ยอมยกเมืองให้ตามสัญญาแต่อย่างใด แต่กลับบอกให้เขาเอาวัวมาชนกันอีก เขาจึงได้กลับมาบ้านมานั่งคิดกลุ้มใจอยู่ ฝ่ายเมียก็มาสอบถาม พอทราบเรื่องก็บอกว่าจะช่วยเหลือ แล้วนางจึงไปจับ “เสือ” ในป่าแล้วเสกคาถาให้กลายเป็นวัว แล้วนำมาให้ผัวของนางไปชนกับวัวเจ้าเมือง ปรากฏว่าวัวของเจ้าเมืองก็แพ้อีกตามเคยแต่เจ้าเมืองก็ไม่ยอมยกเมืองให้แต่อย่างใด แต่กลับบอกให้เขาเอาช้างมาชนกันอีก เขาจึงกลับบ้านมานั่งกลุ้มใจคิดว่าจะทำประการใด ฝ่ายเมียของเขาก็มาช่วยอีก โดยไปเอา “ราชสีห์” (สิงโต) ตัวหนึ่งมาเสกเป็นช้างและให้ผัวของนางนำไปชนกับช้างของเจ้าเมือง ช้างของเจ้าเมืองก็แพ้อีกตามเคย แต่เจ้าเมืองก็ไม่ได้ทำตามสัญญาแต่อย่างใด แต่กลับค้นหาวิธีที่จะยึดเมียของเขาให้ได้ โดยเจ้าเมืองได้บอกกับเขาว่าอีก ๗ วันจึงจะยกเมืองอุตตระให้
ต่อมาใกล้จะถึง ๗ วัน เจ้าเมืองก็สร้างกลองใบใหญ่ขึ้นใบหนึ่ง และให้คนไปอยู่ในกลองแล้วใช้คนนำไปหาเขาที่บ้านโดยบอกว่าเจ้าเมืองจะมีงานจึงได้เอากลองมาฝากไว้ที่กระท่อมของเขา แท้ที่จริงแล้วเจ้าเมืองนั้นอยากจะสืบดูว่าเขามีของวิเศษอะไรจึงชนะเจ้าเมืองทุกอย่างและทุกครั้ง ตกตอนดึกมาสองผัวเมียนอนกอดกันและพูดคุยกันตามประสาผัวเมีย ฝ่ายเมียบอกสามีของเขาว่าห้ามกินไข่ทุกชนิด เพราะว่าจะทำให้นางไม่สบายและจะอยู่ในเมืองมนุษย์ไม่ได้ จะต้องกลับไปอยู่ที่เมืองของนางบนสวรรค์ เมื่อคนที่อยู่ในกลองได้ยินเช่นนั้นจึงนำเรื่องไปเล่าให้เจ้าเมืองฟัง เจ้าเมืองจึงรีบจัดงานเลี้ยงขึ้นแล้วใช้คนไปเรียกผัวของนางมา พอผัวของนางมาถึงงานเลี้ยง ก็พบว่าอาหารทุกอย่างประกอบด้วยไข่ทั้งหมด เขาจึงนึกถึงคำบอกของเมียจึงไม่ยอมกินอาหารเหล่านั้น เจ้าเมืองจึงโกรธและบอกว่าถ้าเขาไม่กินแล้วก็จะถูกฆ่า เขารู้สึกกลัวจึงหยิบกินเพียง ๒-๓ คำ ซึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายเมียซึ่งอยู่ทางบ้านจะปวดหัวจนอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงต้องกลับไปบนสวรรค์ แต่ก่อนที่นางจะกลับไปก็ได้ฝากแหวนวิเศษของนางไว้ให้ผัวโดยฝากไว้กับหมา ๙ หาง พอเขากลับมาถึงบ้านไม่พบเมียก็จึงเสียใจและเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก ฝ่ายหมา ๙ หางจึงบอกว่าไม่ต้องเสียใจ ตนจะช่วยพาไปหาเมียเอง แล้วจึงเอาแหวนนั้นให้เขาเก็บไว้
แล้วสุนัข ๙ หางก็พูดกับเจ้านายว่าไม่ต้องกังวล ตนเองจะพาท้าวสุพรหมโมกขาออกติดตามหานางไข่ฟ้าเอง แล้วทั้งสองก็พากันออกเดินทางจนมาถึง “ลำน้ำพอง” จึงได้พากันว่ายน้ำข้ามลำน้ำพอง โดยท้าวสุพรหมโมกขาเกาะหางสุนัขไป กระแสน้ำเชี่ยวกรากมาก จนกว่าจะถึงอีกฝั่งหนึ่งหางทั้งเก้าของสุนัขก็หลุดกระจัดกระจายออกไปกองอยู่เก้าท่อน ต่อมาได้กลายเป็นภูเขาเก้าลูกเรียงรายกันอยู่ จึงได้เรียกกันว่า "ภูเก้า" มาจนถึงทุกวันนี้ และหางหมาขาดถึง ๘ ครั้งจึงข้ามน้ำได้สำเร็จ ทำให้หมาเหลือหางเดียวมาจนทุกวันนี้ (แต่หางที่เก้าก็ขาดไปครึ่งหนึ่ง) ฝ่ายหมานั้นก็เจ็บปวดมากเพราะหางขาดและเดินทางมากับเขาได้ไม่นานก็ตายลง เขาจึงนำศพหมาเดินทางต่อไปด้วย มีแมลงวันตัวหนึ่งมาขอกินเนื้อหมานั้น เขาก็ให้แมลงวันกิน แมลงวันจึงช่วยแนะนำทางเขาจนถึง เขตเมืองของกา แมลงวันก็บอกว่าตนเดินทางต่อไปไม่ได้แล้ว และบอกว่าถ้าเมื่อใดที่ต้องการให้มันช่วย แล้วก็จงอธิษฐานถึงมัน เขาจึงเข้าไปในเขตเมืองของกา เมื่อกามาพบเขาและได้ขอกินเนื้อหมาอีกเขาก็จึงให้กากิน กาจึงนำทางให้เขามาจนหมดเขตเมืองของกา จนถึงเขตของอีแร้ง กาก็ได้สั่งเขาอย่างเดียวกับแมลงวัน พอเข้าเขตอีแร้ง ๆ ก็ขอเขากินเนื้อหมาอีก เขาก็ให้กินและอีแร้งก็กินจนเนื้อสุนัขนั้นหมด ต่อมาอีแร้งก็ไปส่งเขาจนหมดเขตเมืองของอีแร้ง เขาจึงเดินทางไปเรื่อยๆ แต่เพียงผู้เดียว เขารู้สึกกลัวจึงไปนอนบนต้นไม้ใหญ่ซึ่งใหญ่ที่สุดในป่าแห่งหนึ่ง
ต่อมามีนก ๒ ตัวผัวเมียเป็นนกที่ใหญ่มากสามารถบินถึงชั้นฟ้าได้ ซึ่งชื่อว่านกอะจ๊ะเลเล (หัสดีลิงค์) บินมาเกาะที่ต้นไม้นั้นและได้คุยกันว่า วันนี้กินอิ่มแล้วพรุ่งนี้จะกินอะไรอีก ฝ่ายนกที่เป็นผัวจึงบอกว่า พรุ่งนี้จะไปกินช้างที่เมืองจุมปอน (อุทุมพร) เขาจึงได้รู้ว่าเมียตนอยู่เมืองจุมปอน เขาจึงแอบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในหางปั่วนก (หางนกเส้นโต) รุ่งเช้านกก็บินไปยังเมืองจุมปอน และก็บินลงไปจะไปกินช้างที่ตาย เขาจึงหล่นตกลงมาจากขนนกแล้วก็เดินไปเรื่อย ๆ มาจนถึงท่าน้ำแห่งหนึ่ง พอดีทางเมืองนั้นจะทำพิธีอาบน้ำนางไข่ฟ้าซึ่งเป็นเมียของเขาและเป็นลูกสาวของเจ้าเมือง (ซึ่งจะต้องล้างกลิ่นคาวของมนุษย์ออก เพื่อเป็นชาวสวรรค์นั้นเอง) ซึ่งได้ใช้คนใช้มาหาบน้ำที่ฝั่งแม่น้ำนั้น คนใช้จึงได้มาพบกับเขาที่นั่น เขาจึงถามว่านางหาบน้ำไปทำไม คนใช้ก็บอกว่าตักไปให้ลูกสาวเจ้าเมืองอาบ เขาจึงช่วยนางยกหาบน้ำใส่บ่าแล้วแอบถอดแหวนใส่ลงในหาบน้ำนั้น พอนางคนใช้หาบน้ำมาถึงในวังแล้วไปเทให้ลูกสาวเจ้าเมืองอาบ แหวนจึงได้วิ่งเข้าสวมนิ้วมือของลูกสาวเจ้าเมืองทันที จึงทำให้ลูกสาวเจ้าเมืองหรือนางไข่ฟ้ารู้ว่าผัวของนางมาตาม นางจึงถามคนใช้ว่าตักน้ำที่ไหนมา คนใช้ก็เลยเล่าให้ฟังว่าพบชายคนหนึ่งอยู่ที่ท่าน้ำ นางจึงบอกให้พ่อแม่ว่าผัวนางมาตาม พ่อแม่ของนางไข่ฟ้าจึงให้ทหารไปตามเขามา แต่แล้วไม่ให้เห็นตัวนางไข่ฟ้า แล้วจึงจัดงานและให้นางคนใช้อีก ๖ คนมาแต่งตัวให้เหมือนนางไข่ฟ้าแล้วใช้ผ้าม่านปิดหน้าแล้วให้เขาไปเลือกว่าใครเป็นเมียของเขา โดยเอาแหวนของนางออกเสีย ฝ่ายสุพรหมโมกขาผู้เป็นผัวของนางก็อธิษฐานให้แมลงวันมาช่วย แมลงวันจึงบินมาเกาะที่มือของนาง เขาจึงชี้ตัวนางได้ถูกต้อง ฝ่ายเจ้าเมืองผู้เป็นพ่อตาก็ไม่เชื่อจึงให้ใช้ผ้าม่านปิดแล้วให้นางทั้ง ๗ ยื่นนิ้วออกมา คนละนิ้วแล้วจึงให้เขาเลือกชี้ว่านิ้วไหนเป็นของนางไข่ฟ้า ชายผู้เป็นสามีจึงอธิษฐานให้แมลงวันมาช่วยอีก แมลงวันจึงมาเกาะที่นิ้วนาง ทำให้เขาชี้ได้ถูกต้อง เจ้าเมืองจึงเชื่อและได้ยกรองเท้าวิเศษที่ใส่แล้วสามารถเหาะเหิรและเดินบนอากาศได้ให้กับสุพรหมโมกขาอีกด้วย
จากนั้นสุพรหมโมกขากับนางไข่ฟ้าสองผัวเมีย ก็ได้ร่ำลาพ่อแม่และญาติพี่น้องของภรรยาเพื่อกลับกระท่อมบ้านป่าของตน แล้วเขาก็สวมรองเท้าวิเศษนั้น แล้วทั้งสองจึงเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วลงมาที่กระท่อมในป่าของเขาเหมือนเดิม ฝ่ายเจ้าเมืองอุตตระที่คดโกงเขาถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา พอได้ทราบข่าวดังนั้น จึงรีบยกทัพติดตามมาเพื่อจะชิงเอานางไข่ฟ้าไปเป็นมเหสีของตนให้ได้ ซึ่งในระหว่างเดินทัพมาที่กระท่อมของสองผัวเมียนั้น ได้เกิดฝนตกลมแรงและมีฟ้าคะนอง แล้วเจ้าเมืองอุตตระผู้ชั่วช้าก็ถูก “ฟ้าผ่า” ตายตกลงจากช้างพระที่นั่ง แล้วแผ่นดินก็ได้แยกออกแล้วสูบเอาเจ้าเมืองอุตตระลงสู่มหานรกอเวจีในทันที เมื่อชาวเมืองอุตตระนครทราบความเช่นนั้น ก็มีความเห็นพ้องต้องกันว่าท้าวสุพรหมโมกขาและนางไข่ฟ้านั้นเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก จึงได้พร้อมใจกันมาอัญเชิญให้มาปกครองเมืองอุตตระนครแทนเจ้าเมืองคนเก่า ซึ่งทั้งคู่ก็รับคำเชิญและได้ทำการปกครองบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์ด้วยทศพิธราชธรรมอย่างมีความสุขและร่มเย็นสืบไปจวบจนสิ้นอายุขัย แล้วก็ได้จุติ (ตาย หรือ เคลื่อนไป) ไปปฏิสนธิ (เกิด) เป็นเทพบุตรและเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นฟ้าเช่นเดิม
........................
(...กฏแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด ยังคงวนเวียนตามสังสารวัฏ...จนกว่าดวงจิตนั้นจะบรรลุพระนิพพาน...นั้นเอง...)
ศิษย์ตถาคต/ลูกเจ้าพ่อมอดินแดง
๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕