พญาครุฑ กับ พญานาค
(ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย)
***************************************
ก. ที่มาและมูลเหตุจูงใจ
เป็นเวลาสิบกว่าปีที่ผู้เขียนเฝ้าเพียรพยายามหาคำตอบว่า เหตุไฉนประเทศไทย คนไทย ถึงแตกแยก เดือดร้อน และวุ่นวาย? ทั้งๆที่เป็นเมืองพระพุทธศาสนาแท้ๆ และยังมีพระโพธิสัตว์ผู้ที่ เป็นประมุขประธานประเทศ ซึ่งปกครองประชาชนโดยธรรมอย่างสงบสุขร่มเย็นตลอดมามากกว่า ๖๐ ปี แล้วก็ตาม
จากการศึกษาวิเคราะห์ วิจัยโดยเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกและท่านอื่นๆช่วยกันวิจัยอีกด้วย ที่สำคัญมากก็คือ การได้เรียนปรึกษาพระอริยะเจ้าผู้หยั่งรู้อดีตและอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่ท่านก็ไม่บอก(เป็นความลับสวรรค์ รู้แล้วอาจมีอันเป็นไปทั้งแก่ผู้บอกและผู้ฟัง?) แต่ก็ได้แนะแนวทางในการศึกษาและค้นคว้าต่อไป เพื่อให้ได้คำตอบที่แคบลงมา...
ซึ่งสรุปลงตรงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเหตุ เมื่อมีเหตุจึงมีผล และอีกอย่างก็คือ กฎแห่งกรรม ซึ่งให้ผลอย่างเที่ยงตรงและเป็นสัจธรรมเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาใดๆเลย(เป็น อกาลิโกนั้นเอง) และเป็นที่น่าสังเกตว่า หากจองเวรจองกรรมต่อกัน ไม่เลิกราและอโหสิกรรมให้กันและกันแล้ว เหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้นวนเวียนไปในสังสารวัฏนี้ อย่างมิรู้จบรู้สิ้นนั้นเอง ดังคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนั้นเอง
ทำไม?คนไทยต้องทะเลาะและแตกแยกกัน?
ย้อนกลับไปในอดีตซึ่งนานมากนัก ในยุคที่มนุษย์ในโลกใบนี้ และเทพพรหมต่างๆซึ่งยังมีกิเลสเบาบาง สามารถมีฤทธิ์ มีอภิญญา สามารถรู้เห็น และเข้าใจ สามารถส่งภาษาระหว่างกันและกันได้นั้น ดัง
ตำนาน : พญาครุฑ กับ พญานาค
ที่ได้ทะเลาะและต่อสู้กัน จนเป็นตำนานอันลือลั่นและศึกษาต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ และต่อไปจนกาลปวสานนั้นเอง
ข. สรุป(โดยย่อๆ)
โดย เหล่า พญานาคทั้งหลายที่มีจำนวนมายตั้ง ๑,๐๐๐ ตน(ลูกของนางกัททรุ) และมีอิทธิฤทธิ์มากมายนั้น ได้ต่อสู้กับ พญาครุฑ เพื่อครองความเป็นใหญ่เหนือพญาครุฑและมารดา(นางวินตา)ให้ตกเป็นทาสรับใช้ และยังได้แสดงความเหิมเกริม และอหังการ์ในเผ่าพันธุ์ของตนนั้นเอง
แต่ พญาครุฑ ซึ่งมีเพียง ๒ ตน(พี่ชายและน้องชาย)ต้องต่อสู้เพื่ออิสรภาพของมารดา(นางวินตา)ที่แพ้การทายปัญหาเพราะโดนโกง(จริงๆแล้วนางชนะเพราะทายปัญหาได้ถูกต้อง) จากการทายปัญหาระหว่างภรรยาของ พระกัสยปะเทพบิดร(สามีของนางวินตาและนางกัททรุ ผู้เป็นบิดาของนาคและครุฑในครั้งนั้น)
เรื่องมีอยู่ว่า พระกัสยปะเทพบิดร ซึ่งบำเพ็ญตนคล้ายฤาษี(ในสมัยโน้น) มีภรรยาหลายคน โดยมีภรรยาหลวงคือ นางวินตา และมีภรรยาอีกคนคือ นางกัททรุ โดยภรรยาทั้งหลายคอยรับใช้และปรนนิบัติสามีด้วยกัน อยู่ต่อมาหลายปีก็ยังไม่มีลูก ก็เลยทำพิธีบวงสรวงเทพพรหมให้ได้มีบุตร โดยนางกัททรุได้ขอให้มีบุตร ๑๐๐๐ ตน และให้มีอิทธิฤทธิ์ด้วย หลังจากนั้นนางก็คลอดลูกออกมาเป็นพญานาค ๑๐๐๐ ตน ล้วนมีฤทธิ์เดชทั้งสิ้น และก็ได้ช่วยงานมารดาและบิดาได้อย่างมากมายและครอบคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ฝ่ายนางวินตาก็เร่งสร้างบุญกุศล และรักษาศีล ตลอดจนบำเพ็ญภาวนา แล้วก็ได้ขอพรให้มีบุตรที่มีบุญญาธิการมาก โดยนางขอเพียงคนเดียว จะได้มีไว้เป็นเพื่อนแม่และคอยช่วยเหลือแม่ในบางโอกาสแค่นั้นก็พอ ต่อมาไม่นานนางก็คลอดลูกออกมาเป็นไข่ ๒ ฟอง ซึ่งนางก็ทนุถนอมเฝ้าดูประคบประหงมอยู่นานหลายปีมาก แต่ก็ไม่ยอมฟักออกมาเป็นตัวสักที นางก็ร้อนใจกระวนกระวาย ก็เลยตัดสินใจทุบไข่ฟองหนึ่งให้แตกออกมา โดยไข่ฟองนั้นกลายเป็นเทพบุตรตนหนึ่ง ซึ่งก็คือ พระอรุณ โดยเขาก็โกรธแม่ที่ทุบเขาให้เกิดมาโดยที่ยังไม่พร้อมจึงไม่ค่อยแข็งแรงมีร่างกายส่วนบนสมบูรณ์แต่ส่วนล่างไม่ค่อยสมบูรณ์นัก จึงสาปแม่ให้เป็นทาสรับใช้คนอื่น แต่ก็ได้บอกแม่ไว้ว่าให้เลี้ยงดูไข่อีกฟองที่เหลือให้ดีๆ และไม่ต้องกังวลและใจร้อนใดๆ เมื่อถึงเวลาก็จะแตกออกมาเอง และเขาจะช่วยเหลือแม่เอง แล้วเทพอรุณก็จากลาแม่ไปเป็น สารถีขับราชรถให้กับ สุริยเทพ(พระอาทิตย์)ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
นางวินตาก็เลยอยู่เดียวดาย เมื่อใดที่นางเห็นแม่และลูกคนอื่นๆสนุกสนานรื่นเริงช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก็ให้รู้สึกน้อยใจ เหงาหงอย และเศร้าใจยิ่งนัก แต่นางก็เฝ้าคอย ประคบประหงมและเฝ้ารอลูกของนางอีกตนที่จะคลอดออกมาเมื่อไหร่นางก็ไม่รู้? ฝ่ายนางกัททรุและลูกๆได้แสดงความอหังการ์และข่มเหงนางอยู่บ่อยๆ และในกาลครั้งหนึ่งก็ได้ทายปัญหากันระหว่างนางทั้งสอง ซึ่งหากใครแพ้(ตอบไม่ถูก)ก็จะต้องตกเป็นทาสรับใช้ของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยคำถามมีอยู่ว่า ในคราวที่เทพกับอสูรทำพิธีเกษียรสมุทรนั้น ได้เกิดของวิเศษ ๑๔ อย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ ม้าอุอุจเจศรวัสว่ามีหางสีอะไร? นางวินตาตอบว่า สีขาว ส่วนนางกัททรุตอบว่า สีดำ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นสีขาว เมื่อนางกัททรุและลูกๆเห็นว่าแม่ของตนจะแพ้และจะต้องตกเป็นทาสของเขา ก็เลยใช้อิทธิฤทธิ์ของเหล่าลูกๆที่เป็นพญานาคให้เข้าไปแปลงเป็นเส้นขนของหางม้านั้นให้กลายเป็นสีดำจนหมด นางวินตาก็เลยแพ้ในการทายปัญหานี้ จึงต้องตกเป็นทาสรับใช้นางกัททรุและลูกๆเหล่าพญานาคของนางด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน และยังถูกกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ จากนางกัททรุและเหล่าลูกๆของนางอย่างทุกข์ทรมานและอย่างเจ็บซ้ำน้ำใจยิ่งนัก
ครั้นเมื่อถึงเวลาไข่อีกฟองลูกของนางวินตาก็แตกออกมาจากไข่ กลายเป็น เทพบุตรมีรูปร่างครึ่งคนครึ่งนก โดยในคราวที่เกิดมานั้น ได้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั้งสามภพจนทุกคนต่างตกใจว่าเกิดจากอะไร? เมื่อเทพบุตรกึ่งนกลืมตาอันกลมโตก็เกิดแสงสว่างและประกายประหลาดไปทั่วทั้งจักรวาล เมื่อสยายปีกทั้งสองข้างอย่างใหญ่แผ่ไปทั่วทุกสารทิศ เทพบุตรนั้นมีพละกำลังมากมหาศาล พวกเหล่านาคต่างตกตะลึงและหวาดหวั่นในอำนาจและบุญบารมียิ่งนัก นางวินตาดีใจมากและมีความสุขยิ่งนัก นางพาลูกชายกึ่งมนุษย์กึ่งนกทำงานต่างๆนาๆเพื่อรับใช้นางวินตาและลูกๆของนางเหล่าพญานาคนั้นเอง แม้ว่านางจะถูกกลั่นแกล้งและให้ทำงานหนักละสกปรกต่างๆนาๆจากการกลั่นแกล้งของเหล่าพญานาคตั้ง๑๐๐๐ ตนก็ตาม ถึงแม้จะสกปรกและหนักหนาแค่ไหนก็ทำได้และทำสำเร็จเพราะลูกของนางช่วยเหลือนั้นเอง เทพบุตรกึ่งนกกึ่งมนุษย์ก้มหน้าก้มตาช่วยเหลือแม่ทำงานทุกอย่างเพราะรักและสงสารมารดานั้นเอง ทั้งที่โดนกลั่นแกล้งและเยาะเย้ยถากถางจากนางกัททรุและเหล่าพญานาคทั้งหลายก็ตาม ซึ่งหากเทพกึ่งนกจะทำลายพวกเขาเหล่านั้นแม้เพียงนิดเดียวก็คงแหลกลาญไปในพริบตา แต่นางวินตาก็สอนลุกให้เป็นคนดี มีความอดทน และรักษาสัจจะที่ทายปัญหาแพ้(แต่จริงๆแล้วนางชนะ แต่แพ้เพราะกลโกงของเหล่าพญานาคนั้นเอง)
ด้วยความกล้าหาญและทราบความจริงทุกอย่างด้วยการสืบค้นของตัวเองแล้ว เทพบุตรกึ่งนกก็ได้เข้าไปขออิสรภาพจากนางกัททรุและเหล่าพญานาคทั้งหลาย โดยขอให้แม่ของตนเป็นอิสรภาพ ซึ่งนางกัททรุและเหล่าลูกๆของพญานาคที่มีนางวินตาและลูกของนางคอยช่วยเหลือก็สุขสบายดีจนเคยตัวแล้วนั้น ก็ไม่ยินยอมแต่อย่างใด แต่เทพบุตรกึ่งนกก็สงสารแม่อยากให้แม่สุขสบายและเป็นอิสระ จะให้ตนทำอะไรให้ก็ยอม นางกัททรุและเหล่าพญานาคอยากจะแกล้งและอยากได้สิ่งที่วิเศษที่เทพบุตรกึ่งนกจะทำให้นั้น ก็เลยแกล้งโดยการบอกว่า ถ้าไปเอาน้ำอมฤตจากสวรรค์มาให้พวกตนได้ดื่มกินเพื่อความเป็นอมตะได้ นางและลูกๆก็จะให้อิสรภาพแก่แม่ของเทพบุตรกึ่งนกแน่นอน โดยหวังว่าจะให้เทพกึ่งนกไปถูกฆ่าตายจากเหล่าเทพเทวดา และจากมหาเทพที่เฝ้ารักษาน้ำอมฤตอย่างดีและแน่นหนานั้นเอง แต่ถึงไม่ตาย ตัวเองและลูกๆก็ได้กินน้ำอมฤตและก็มีชีวิตเป็นอมตะ ถึงแม้นางวินตาและลูกชายเป็นอิสระก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร? ซึ่งมีแต่ได้กลับได้นั้นเอง นี่คือแผนการอันชั่วช้าและสามานย์ของแม่และลูกๆนั้นเอง แล้วเทพบุตรกึ่งนกก็ดีใจและรับปากทันที!
(อ่านรายละเอียดใน ตำนาน : พญาครุฑ)
พญาครุฑ( แปลว่า ผู้แบกภาระอันยิ่งใหญ่) สามารถกระทำภารกิจอันยิ่งใหญ่และยากลำบากนี้ ได้สำเร็จจนลือลั่นและกล่าวขานกันไปทั่วทั้งสามภพ และทั่วทั้งจักรวาลเลยทีเดียว ซึ่งแม้แต่ พระอินทร์หรือ ท้าวสักกเทวราชผู้เป็นหัวหน้าแห่งสวรรค์ก็ยังพ่ายแพ้ และที่สำคัญ พระนารายณ์ผู้เป็น มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่๑ ใน ๓ ของจักรวาล และสังสารวัฏนี้(พระพรหม พระนารายณ์ และพระอิศวร)ผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษาและปกป้องโลกและจักรวาลตลอดจนทุกภพภูมิในสังสารวัฏนี้ ก็สู้ไม่ได้คือเสมอกันนั้นเอง
แล้วพญาครุฑก็นำน้ำอมฤตมาให้นางกัททรุและเหล่าพญานาค ๑๐๐๐ ตนนั้นได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้จะเผชิญอุปสรรคและอันตรายมากมายเกินผู้หนึ่งผู้ใดจะสามารถกระทำการนี้ได้ก็ตาม แล้วนางวินตาผู้เป็นมารดาของพญาครุฑก็ได้รับอิสรภาพอย่างสง่างาม นางก็มีความสุขมาก มีความภาคภูมิใจ มีเกียรติ มีความสง่างาม และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รักษาสัจจะอย่างยิ่ง ที่สำคัญนางได้มีลูกชายผู้เป็น อภิชาติบุตรผู้เกิดมาช่วยเหลือนางอย่างแท้จริง และยังสามารถช่วยเหลือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์(ผู้ที่ถือว่าเป็นพระนารายณ์อวตารมาเป็นประมุขประธาน เพื่อทำการปกครองเหล่ามนุษย์ให้มีความสุข และอยู่ในศีลในธรรมนั้นเอง)ให้คงอยู่สืบไปตราบนานเท่านานนั้นเอง
พญาครุฑได้นำหม้อน้ำอมฤตมามอบให้แก่นางกัททรุและเหล่าพญานาคลูกๆของนางทั้ง๑๐๐๐ ตน เพื่อแลกกับความเป็น "ไท" หรือ "ไทย"หรือ "อิสรภาพ"ไม่ใช่ "ทาส"นั้นเอง โดยวางไว้ที่หญ้าคา(หญ้าศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของพราหมณ์อินเดียโบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้ และคนไทยเราก็นิยมใช้หญ้าคาพรมน้ำพระพุทธมนต์นั้นเอง) นางกัททรุและเหล่าพญานาคดีใจนักหนาที่จะได้กินน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร แต่ก่อนจะกินต้องพากันอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดใน "แม่น้ำคงคา"ซะก่อน ระหว่างนั้นพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์ได้ติดตามมาเพื่อนำหม้อน้ำอมฤตกลับไปไว้เป็นสมบัติของสรวงสวรรค์ตามเดิม เมื่อได้โอกาสที่เหล่าพญานาคเผลอก็ได้นำหม้อน้ำอมฤตเหาะกลับคืนสู่สรวงสวรรค์ทันที เหล่าพญานาคเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบขึ้นฝั่งมาที่ตั้งหม้อน้ำอมฤตด้วยความเจ็บใจและเสียดายยิ่งนัก ทั้งนี้พระอินทร์ได้ทำน้ำอมฤตหกลงบนหญ้าคาบ้างเป็นหยดเล็กน้อย พญานาคเห็นดังนั้นก็พากันเลียกิน ด้วยความไม่ระมัดระวังทำให้หญ้าคาที่คมนั้นได้บาดลิ้นของเหล่าพญานาค ทำให้ลิ้นบาดแยกเป็น "สองแชก"มาตั้งแต่บัดนั้น
นางกัททรุและเหล่าพญานาคด้วยความเสียดายและโกรธแค้นพญาครุฑและพระอินทร์หัวหน้าสวรรค์ และยังพาลไม่ชอบชาวสวรรค์ทั้งหลายแม้แต่พระนารายณ์ผู้เป็นมหาเทพด้วยก็ตาม จึงได้คอยตามจองล้างจองผลาญอยู่ตลอดมา และเมื่อได้โอกาสก็จะแสดงบทผู้ร้ายต่อพญาครุฑและเหล่าเทพบุตรและเทพธิดาทันที ดังที่ปรากฏมาแล้วในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตด้วย ทั้งๆที่พญาครุฑไม่ได้ทำผิดอะไรก็ตาม แต่ก็ยังตามกลั่นแกล้ง เบียดเบียน และหาทางทะเลาะและแย่งชิงสมบัติตลอดจนของรักของหวงของพญาครุฑและเหล่าเทพอยู่บ่อยๆ เช่น แย่งชิงและพลัดพรากนางไอ่ภรรยาของผาแดงจนตายจมลงสู่พื้นดินสู่เมืองบาดาล และทำให้บ้านเมืองล่มจมเกิดเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ คือ "หนองหาน"ทั้งที่สกลนคร และที่กุมภวาปี อุดรธานี อีกทั้งนำพระพุทธรูป"พระสุก"จมลงสู่แม่น้ำโขงไปไว้เมืองบาดาล ไม่เว้นแม้แต่การทำลายเผาบ้านเผาเมืองของพญาครุฑและเหล่าเทพก็ตาม เป็นต้น
ค. กล่าวโดยสรุป
จากเหตุการณ์ดังนั้น จึงสร้างความโกรธแค้น และเคียดแค้น และจองล้างจองผลาญจากนางกัททรุและเหล่าพญานาคซึ่งเป็นลูกของนางทั้ง ๑๐๐๐ ตน ไม่ว่าจะพบกันในภพชาติไหนๆ ไปเกิดเป็นอะไร?ก็ตาม ก็ต้องต่อสู้ ทะเลาะ แตกแยก และข่มเหงรังแกกัน ไม่ว่าทางใดหรือวิธีการใดๆก็ตาม อันเป็นไปตามกฏแห่งกรรม และเป็นวิถีของ พญาครุฑ กับ พญานาค ดังที่ทุกสรรพสัตว์ในสังสารวัฏนี้ ต่างก็รับรู้และเข้าใจกันเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง จนเป็นที่เข้าใจได้อย่างดีว่า เป็น คู่กัด หรือเป็น ขาวกับดำ หรือเป็น ดี กับ ชั่วนั้นเอง อันถือว่าเป็นของมีอยู่คู่กันตราบชั่วฟ้าดินสลายนั้นเอง โดย พญาครุฑจึงได้จับกินเหล่า พญานาคทั้งหลายเป็นอาหาร ดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ แม้แต่นกก็ยังกินงู แต่งูก็แอบขโมยกินไข่นกและลูกนกในรังหรือตัวอ่อนของพวกนกต่างๆที่ยังไม่แข็งแรงและเติบโตเต็มที่ เป็นต้น
และยังสามารถสรุปเป็นสำนวนสั้นๆง่ายว่าๆ พญานาคเป็นเจ้าแห่งนาวา(หรือ น้ำนั้นเอง) ส่วน พญาครุฑเป็นเจ้าแห่งเวหา(หรือ ท้องฟ้านั้นเอง) และเมื่อเจอกันบนพื้นดินในโลกมนุษย์ ทั้งสองฝ่ายต่างก็รุก -รับ และผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ พลิกไปพลิกมา อย่างตื่นเต้น และหวาดเสียวอยู่ตลอดเวลา เหมือนๆกับเหตุการณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมาและกำลังดำเนินไปอยู่ในขณะนี้นั้นเอง
โดยพระนารายณ์ได้ขอร้องให้พญาครุฑ ยกเว้น การจับกินพญานาค ๒ ตน ซึ่งเป็นผู้ที่เป็นคนดีและใฝ่ในศีลและปฏิบัติธรรม นั้นก็คือ พญาเศสะนาคราช หรือ พญาอนันตนาคราชผู้เป็นบัลลังก์และที่บรรทมของพระนารายณ์นั้นเอง ส่วนพญานาคอีกตนก็คือ พญาสุวรรณนาคราช( พระยาขอมบิดาของ นางไอ่คำ) ผู้เป็นสหายของ พญาศรีสุทโธนาคราช(พญานาคผู้เป็นบิดาของ พังคีนาคราชนั้นเอง) ดังรายละเอียดในตำนานรักอมตะ ผาแดง - นางไอ่อันเป็นตำนานที่สะเทือนใจยิ่งนัก ที่บ้านเมืองของมนุษย์ได้ล่มจมลงไปในพื้นดิน คือ หนองหาน สกลนคร และ หนองหานกุมภวาปี อุดรธานีในประเทศไทยในปัจจุบันนี้นั่นเอง อันเป็นตำนานลือลั่นและกล่าวขานตลอดจนมีหลักฐานให้เห็นและให้ลูกหลานได้ศึกษากันมาจนถึงทุกวันนี้นั้นเอง
...โดยทุกอย่างจบลงที่ว่า ธรรมะ ย่อมชนะ อธรรม ไม่ว่ากาลไหนๆก็ตาม...
.
........................................................................
หมายเหตุ :
๑. พญาครุฑคือสัญลักษณ์แห่ง ราชอาณาจักรไทย หรือ ราชอาณาจักรสยาม และเป็นสัญลักษณ์ของ พระมหากษัตริย์ไทย ที่ทั่วทั้งไตรภพต่างรับรู้กันดี และที่นี่คือ ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาของโลกมนุษย์
๒. พญาครุฑตนนี้เป็นคนละตนกันกับพญาครุฑที่เป็นสามี(ชู้)กับ นางกากี ก็เนื่องจากว่า เป็นคนละยุคคนละสมัยกัน และห่างกันลิบลับ(ด้านบุญบารมี และความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะด้านศีลธรรม)
๓. หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดอีกอันหนึ่งของพญาครุฑ ก็คือ การทำนุบำรุง รักษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(พระสมณโคดมพระพุทธเจ้า)ให้คงอยู่ในโลกมนุษย์จนครบ ๕๐๐๐ ปีนั้นเอง
จาก ลูกหลานพญาครุฑ/ศิษย์ตถาคต
๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕