สุดยอดวีรกรรม
ของพระองค์ดำ ณ ทุ่งมหาราช
**************************************
ก. มูลเหตุจูงใจ
เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม ปีพ.ศ.๒๕๔๙ ผู้เขียนโดยบังเอิญ ได้มีโอกาสไปทำบุญร่วมเททองหล่อพระประธาน คือพระพุทธรูปปางจักรพรรดิ องค์ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ทำด้วยทองเหลืองทั้งองค์ มีหน้าตักกว้าง ๑๙ เมตร และสูง ๓๒ เมตร โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ( รัชกาลปัจจุบัน ) ได้พระราชทานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระพุทธมหาชนกมุนีศรีสรรเพชญ์ ซึ่งจะประดิษฐานไว้ ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้ ซึ่งริเริ่มและดำเนินการโดย หลวงพ่อดำรงค์ กัลยาณจิตโต อดีตเจ้าอาวาสวัดหน้าวัว ตำบลเจ้าปลุก อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (หลวงพ่อดำรงค์ได้มรณภาพด้วยโรคไตวายเฉียบพลัน เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓) โดยหลวงพ่อมีวัตถุประสงค์ในการสร้างพระพุทธรูปนี้ไว้ ณ สถานที่สำคัญแห่งนี้ ที่เป็นประวัติศาสตร์ของชาวสยามหรือประเทศไทยและเป็นประวัติศาสตร์ของชาวโลก เพื่ออุทิศบุญกุศลแด่ดวงพระวิญญาณของ จอมจักรพรรดิแห่งอุษาคเนย์ พระองค์นั้นก็คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้นเอง และเพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ผู้เป็นประมุขของเราชาวไทยในปัจจุบันนี้ ตลอดจนเพื่อเป็นการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของไทยเราทุกพระองค์ ที่ทรงปกป้องและคุ้มครองผืนแผ่นดินไทยและลูกหลานไทยให้ได้อยู่อย่างสงบสุขและร่มเย็นสืบมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
ข. ที่มา(ประวัติศาสตร์โดยย่อๆ)
วีรกรรมอันลือลั่นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ พระองค์ดำ ที่ทุ่งมหาราช ใน ศึกนันทบุเรงนั้น ยิ่งใหญ่ลือลั่นและเป็นที่กล่าวขานกันไปทุกสารทิศ เนื่องจากว่าเป็นศึกใหญ่ เป็นศึกกษัตริย์ คือ พระเจ้านันทบุเรง หรือ มังไชยสิงห์ผู้เป็นกษัตริย์ของพม่าหงสาวดี ผู้เป็นราชบุตรของ พระเจ้าบุเรงนอง หรือ ผู้ชนะสิบทิศ ได้ยกทัพเป็นทัพกษัตริย์มามากมายเหลือคณานับ หวังจะถล่มกรุงศรีอยุธยาศรีรามเทพนคร แห่งราชอาณาจักรสยาม ของ สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระมหากษัตริย์ของไทย ผู้เป็นพระราชบิดาของ ๓ ศรีพี่น้อง คือ พระองค์ทอง(พระพี่นางสุพรรณกัลยา) พระองค์ดำ(สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) และ พระองค์ขาว(สมเด็จพระเอกาทศรถ)ให้ย่อยยับ และตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าหงสาวดีเหมือนแต่ก่อน
แต่ พระมหาอุปราช ผู้เป็นวังหน้าแห่งอโธยา ซึ่งก็คือ พระองค์ดำหรือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็น พระราชบิดาแห่งกองทัพไทยนั้นเอง ได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในการรบและทำศึกสงครามกับข้าศึกศัตรูให้แตกพ่ายและย่อยยับไป ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้ โดยที่พระเจ้านันทบุเรง และลูกหลานพม่า ตลอดจนทหารกล้าแห่งพม่าหงสาวดี ไม่มีโอกาสได้เข้าไปใกล้พระบรมมหาราชราชวังแห่งอโยธยาได้เลย จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ชีพของพระองค์ หรือแม้แต่ มังสามเกียดหรือ พระมหาอุปราชามังกะยอชวาผู้เป็นราชบุตรและเป็นพระยุพราชแห่งพม่าหงสาวดี ก็ต้องมาทิ้งชีวิตให้กับพระองค์ดำ ณ หนองสาหร่าย ดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี ในศึก ยุทธหัตถีอันลือลั่น เมื่อปีพ.ศ. ๒๑๓๕ ที่ทุกคนต่างรู้จักกันอย่างดีแล้วนั้นเอง
ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้ ซึ่งในโบราณยุคโน้นเรียกว่า ทะเลมหาราช โดย ณ สถานที่แห่งนี้นั้น คือ สนามรบ เป็นสมรภูมิเลือด ที่หน้าประวัติศาสตร์ของสยามหรือประเทศไทย และของโลกมนุษย์ได้จารึกไว้ดังนี้ ว่า
๑. เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแครง ประเทศพม่า ในปีพ.ศ. ๒๑๒๗ พระเจ้านันทบุเรงกษัตริย์แห่งพม่าทรงพิโรธจัด ได้สั่งระดมพล แล้วกรีฑาทัพนำกำลังพลมากกว่าสองแสนนายมาบุกกรุงศรีอยุธยาในปีพ.ศ. ๒๑๒๙ โดยหวังจะบดขยี้กรุงศรีอยุธยาศรีรามเทพนครให้พินาศราบเป็นหน้ากลอง ซึ่งได้ตั้งทัพหลวง ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้( ปัจจุบันก็คือ ทุ่งมหาราช ตำบลเจ้าปลุก อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ซึ่งมหาอุปราชแห่งอโยธยา คือ พระองค์ดำ ได้แสดงความเก่งกล้าสามารถ และความกล้าหาญเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะกระทำได้ โดยนำกำลังออกมาจากกรุงศรีอยุธยาออกปล้นค่ายของกษัตริย์พม่า ณ ทุ่งมหาราชนี้ ด้วยพระองค์เอง โดย พระองค์ได้ออกหน้าเป็นผู้นำและบุกเข้าไปปีนป่ายต่อสู้กับทหารพม่าบนกำแพงค่าย โดย เอาพระโอษฐ์(ปาก)คาบดาบแล้วปีนป่ายตามบันไดขึ้นไปเพื่อต่อสู้กับทหารพม่าบนกำแพงค่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ห้าวหาญและตรึงตาตรึงใจทั้งทหารไทยและทหารพม่ายิ่งนัก อันเนื่องจากไม่มีพระยุพราชหรือมหาอุปราชวังหน้า ว่าที่พระมหากษัตริย์องค์ต่อไปพระองค์ใด ที่จะกระทำการบ้าบิ่นเยี่ยงนี้ไม่มีอีกแล้ว และพระองค์ก็ถูกแทงตกลงมาจากกำแพงค่าย แต่พระองค์ก็ไม่ยอมแพ้ กลับปีนขึ้นไปต่อสู้ใหม่ และก็ถูกแทงตกลงมาอีก จนครั้งที่ ๓ พระองค์ได้ถูกแทงด้วยทวนบาดเจ็บตกลงมา ทหารไทยจึงนำพระองค์กลับเข้าสู่พระนครศรีอยุธยา นี่คือที่มาแห่งวีรกรรม และที่มาแห่ง พระแสงดาบคาบค่ายที่รู้จักกันเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง
๒. ในยุคโน้นไม่มีใครไม่รู้และกล่าวขานถึง ใน ศึกดวลเพลงทวนกันบนหลังม้า ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้ ระหว่าง ยอดขุนทวนมือหนึ่งแห่งพม่าหงสาวดี เขาผู้นั้น คือ ลักไวทำมู กับ จอมคนแห่งอโยธยา ท่านผู้นั้นก็คือ พระองค์ดำหรือภาษาพม่าเรียกพระองค์ว่า ตองเจนั้นเอง ผลปรากฏว่าขุนทวนแห่งหงสาวดีถูกแทงกระเด็นจากปลายทวนของพระองค์ดำตกลงจากหลังม้าสิ้นชีวิตทันที ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้
ด้วยความห้าวหาญและด้วยขวัญกำลังใจอันดีเยี่ยมและฮึกเหิมยิ่งนักของทหารไทยแห่งกรุงศรีอยุธยา ภายใต้การนำของ จอมคนแห่งสุวรรณภูมิ ในการซุ่มโจมตีกองเสบียง และการออกปล้นค่ายเกือบทุกวันทุกคืน ตลอดจนการระดมยิงปืนใหญ่ใส่ค่ายของพระเจ้านันทบุเรงอย่างมีกลยุทธ์ ทำให้กษัตริย์ของพม่าไม่เป็นอันเสวยและบรรทมลงได้ ไม่ต้องพูดถึงการจะเข้าตีกรุงศรีอยุธยาเลย แค่การจะอยู่อย่างสงบไม่วุ่นวายก็ลำบากและขัดสนยิ่งนัก พลิกตาราพิชัยยุทธ์เพื่อรับมือกับพระองค์ดำก็แทบพลิกตำราไม่ทัน และเมื่อตั้งทัพอยู่ ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้ได้เพียง ๖ เดือน ก็จำต้องเลิกทัพกลับพม่าหงสาวดีอย่างสิ้นลายกษัตริย์ชาตินักรบเลยทีเดียว
ค. บทสรุป(ส่งท้าย)
๑. ทุกไตรมาส(ทุก๓ เดือน ปีละ๔ ครั้ง)ของทุกปี ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้ ได้จัดให้มีพิธีหล่อพระประธานองค์นี้ ซึ่งองค์ใหญ่มากทำให้ต้องทำหลายปี(ทำมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๘) ซึ่งผู้เขียนได้ไปร่วมในบางครั้งของบางปี(ครั้งล่าสุด คือเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๕) ทุกครั้งที่ไปร่วมทำบุญ ได้พบว่ามีญาติโยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาร่วมทำบุญกันมาก ทั้งๆที่หลวงพ่อดำรงค์ท่านมรณภาพไปแล้วก็ตาม เป็นนิมิตหมายอันดีว่าลูกหลานไทย และลูกศิษย์ของหลวงพ่อจะช่วยเหลือและสืบสานงานของหลวงพ่อต่อไปให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน
๒. ณ สถานที่แห่งนี้ได้ก่อตั้งเป็น สำนักปฏิบัติธรรมมหาราชธรรมมาราม(วัดหน้าวัวใหม่) หรือ วัดมหาราชธรรมมาราม ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ควบคู่ไปกับการหล่อพระประธานองค์ใหญ่ ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะเป็นพระเกจิอาจารย์บ้านนอกบ้านนา และมีแต่ชาวบ้านธรรมดาที่มีรายได้และฐานะธรรมดาเป็นส่วนใหญ่มาช่วยกันทำงาน แต่ก็สามารถทำให้งานออกมาราบรื่นและน่าประทับใจทุกครั้ง
แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์และวิจารณ์ก็จะทำให้แปลกใจเป็นอย่างยิ่งว่า งานใหญ่ และวัตถุประสงค์ดีๆอย่างนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ทุ่งมหาราชแห่งนี้ อันเนื่องจากว่าเพราะที่นี่คือ สถานที่ที่เป็นสมรภูมิรบ เป็นทุ่งที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาคงอยู่ และมีราชอาณาจักรสยามปรากฏบนแผนที่โลกมนุษย์ ซึ่งควรได้รับการใส่ใจและร่วมมือกันของคนในชาติทุกภาคส่วน เพราะสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ จอมราชันย์สุพรรณภูมิ หรือ จอมจักรพรรดิแห่งอุษาคเนย์ได้สร้างตำนานไว้ให้ลูกหลานไทยและชาวโลกได้รู้จักและศึกษาค้นคว้านั้นเอง
๓.หลวงพ่อดำรงค์เคยสอนไว้เมื่อคราวที่ผู้เขียนได้มาร่วมงานครั้งแรก และได้ร่วมทำพิธีกลางแจ้ง กลางผืนดินที่กำลังถมเพื่อที่จะก่อสร้างสำนักปฏิบัติธรรมกลางทุ่งมหาราชแห่งนี้(สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙) หลวงพ่อท่านได้พูดไว้ว่า
ใครที่เคยร่วมรบกับพม่าข้าศึกในครั้งกระโน้น ก็ได้มาช่วยกันในวันนี้น่ะ
น่าแปลกมาก! คือว่าถัดมาไม่นาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ (รัฐบาลข้าศึกศัตรูของไทยในอดีตที่กลับชาติมาเกิด... ก็ถูกปฏิวัติทันที!..)
...ผู้เขียนพึ่งจะมาน้ำตาร่วง! และรับรู้อะไร?ได้...ก็เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๕ นี้เอง?...
................................................
จาก คนไทย/ลูกหลานพระองค์ดำ
๑๐ กันยายน ๒๕๕๕