นิทาน : ปลาบู่ทอง
******************
(ก) เรื่องย่อ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหาปลาคนหนึ่งชื่อว่า “ เศรษฐีทารกะ ” เขามีภรรยาสองคน คนแรกชื่อว่า “ กนิษฐา ” คนที่สองชื่อว่า “ กนิษฐี ” นางกนิษฐามีลูกสาวคนเดียวชื่อว่า “ เอื้อย ” ในขณะที่นางกนิษฐีมีลูกสาวสองคน คนแรกชื่อ “ อ้าย ” กับ “ อี่ ” ชายหาปลาไม่ชอบภรรยาหลวงและลูกสาวของนาง จึงมักจะดุค่าและบังคับให้ทำงานหนักทุกวัน ในขณะที่นางกนิษฐีผู้เป็นภรรยาน้อยกับลูกสาวสองคนใช้ชีวิตอยู่อย่างสบาย เพราะไม่ต้องทำงานหนักเหมือนอย่าง แม่ลูกคู่นั้น อย่างไรก็ตามทั้งนางกนิษฐีและลูก ๆ ของนางก็ยังเกลียดนางกนิษฐาและเอื้อย อีกซ้ำยังอิจฉาริษยา และคอยหาทางกลั่นแกล้งสองแม่ลูกอยู่ตลอดเวลา ทุก ๆ เช้า ชายหาปลาจะออกไปทอดแหหาปลาในแม่น้ำ และจะมีภรรยาสองคนผลัดกันเป็นคนพายเรือให้คนละวันหลังจากได้ปลามากพอในแต่ละวันแล้วก็จะนำไปขายที่ตลาดก่อนกลับบ้าน
อยู่มาวันหนึ่ง นางกนิษฐาทำหน้าที่เป็นคนพายเรือให้สามีในขณะหาปลา แต่ว่าไม่ได้ปลาสักตัวเดียว นอกจากปลาบู่ทองตัวหนึ่งเท่านั้น ตลอดทั้งวันชายหาปลาทอดแหแล้วทอดอีกก็ได้แต่ปลาบู่ทองตัวเดิมมาทุกที เขาปล่อยมันลงไปในน้ำแต่ไม่นานมันก็ติดแหขึ้นมาอีก เขาโมโหมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี และทุกครั้งที่เขาได้ปลาบู่ขึ้นมาภรรยาของเขาก็จะขอเขาไว้เพื่อเก็บไว้ให้ลูกของตนเลี้ยงเล่น แต่เขาจะโยนมันทิ้งไปโดยไม่แยแสในคำขอร้องของภรรยาตน ในที่สุดก็เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงจนถึงขั้นตบดีนาง และผลักนางลงน้ำไป ภรรยาของเขาจึงจมน้ำตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็น
ด้วยเหตุนี้ชายหาปลาจึงกลับบ้านเพียงลำพัง และพบเอื้อยกำลังรอแม่ของตนกลับมาอยู่ และเมื่อลูกสาวถามหาแม่เขาก็ปฏิเสธที่จะพูดอะไรออกไปเมื่อลูกสาวคะยั้นคะยออยู่ตลอดเวลา เขาจึงบอกว่าแม่ของนางไปอยู่ใต้น้ำและจะกลับมาในอีก ๓ วัน และบอกให้ลูกสาวหยุดร้องไห้มิฉะนั้นแล้วแม่ของนางจะไม่กลับมาอีกเลย และถึงแม้ว่าเด็กสาวจะไม่เข้าใจว่าบิดาของตนพูดอะไร แต่ก็นึกเอาว่ามารดาของตนต้องประสบอันตรายอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงร้องไห้โฮออกมา ฝ่ายชายหาปลาเกรงว่าข่าวการหายไปของภรรยาตนจะแพร่หลาย จึงบังคับให้ลูกสาวหยุดร้องไห้ในทันทีและเริ่มทุบตีนาง เพื่อนบ้านเข้ามาขัดขวางและถามถึงภรรยาหลวงของเขา ชายหาปลาก็พูดโกหกไปว่าหนีตามชู้ไปแต่ก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา เพราะทุกคนรู้ว่าชายหาปลาผู้นี้เกลียดภรรยาหลวงและรักภรรยาน้อยมากกว่า แต่ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้มาก ได้แต่เพียงช่วยปลอบใจเอื้อยเท่านั้นรุ่งเช้าพ่อกับแม่เลี้ยงบอกให้นางทำงานบ้าน แต่นางยังเจ็บแผลที่ถูกเฆี่ยนตีอยู่จึงขอหยุดพักแต่ทั้งคู่ไม่ยอมฟังนาง ตรงกันข้ามกับลูกสาวทั้งสองคนของแม่เลี้ยง ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย พวกเขาเพียงแต่กินและเล่นเท่านั้นเอง
หลังจากจมน้ำตาย นางกนิษฐาก็ไปเกิดเป็นปลาบู่ทอง ว่ายน้ำมาที่ท่าน้ำหน้าบ้านและรอเอื้อยด้วยความรัก ปลาบู่ทองเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอื้อยฟัง นางสงสารผู้เป็นแม่มาก นางจะนำอาหารมาให้ปลาผู้เป็น มารดาและพูดคุยกันเพื่อจะได้ลืมความทุกข์โศกทั้งปวง แต่ไม่นานนัก อ้ายก็รู้เรื่องเข้าจึงไปบอกให้แม่ตนเองทราบและแล้วผู้เป็นแม่ก็วางแผนฆ่าปลาบู่ทองเสีย ในขณะที่เอื้อยได้รับคำสั่งให้ไปเลี้ยงวัวในทุ่งนา ปลาบู่ทองก็ถูกล่อไปฆ่ากินเป็นอาหาร ผู้เป็นแม่เลี้ยงให้หมาและแมวกินก้างปลาบู่ทองหมดและโยนเกล็ดทิ้งไป ด้วยความสงสารเอื้อยจึงไปถามหมาและแมวซึ่งทั้งสองก็ปฏิเสธที่จะบอกความจริง เป็ดจึงเข้ามาปลอบเอื้อยและมอบเกล็ดปลาบู่ทองให้นาง เอื้อยเสียใจมากที่ได้รู้เรื่อง ดั้งนั้นนางจึงฝังเกล็ดปลาบู่ทองไว้ในป่า และตั้งอธิฐานขอให้แม่มาเกิดเป็นต้นมะเขือเปราะ ด้วยพรของเทวดาในทันใดนั้นก็เกิดต้นมะเขือเปราะงอกงามขึ้น นับแต่นั้นมาเอื้อยผู้มีความสุขก็จะมากราบไหว้ และพูดคุยกับต้นมะเขือเปราะทุกวัน แต่โชคร้ายที่อ้ายก็แอบมาเห็นอีจึงไปบอกแม่ของตน ผู้เป็นแม่จึงสั่งให้นางถอนต้นมะเขือเปราะทิ้ง แล้วนำผลมาทานทันที หลังจากกินแล้วก็โยนเม็ดมะเขือเปราะทิ้งไป เป็ดก็เก็บเม็ดมะเขือไว้ให้เอื้อยอีก เอื้อยเสียใจอย่างสุดซึ้ง นางจึงนำเม็ดมะเขือไปปลูกไว้ในป่าแล้วอธิฐาน ขอให้แม่เกิดเป็นต้นโพธิ์ เพื่อที่นางจะได้ กราบไหว้บูชา และด้วยพรของเทวดาต้นโพธิ์ก็งอกงามขึ้นในบัดดล
ในกาลต่อมา “พระเจ้าพรหมทัต” เสด็จมาทรงเห็นต้นโพธิ์ก็ทรงอยากได้ไปปลูกในวังจึงให้ถามหาเจ้าของ และเมื่อได้รับการกราบทูลให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงประสงค์ที่จะพบเอื้อย และเอื้อยก็ได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ด้วยความสงสารในตัวนาง พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะอธิเษกสมรสกับเอื้อยและตั้งให้เป็นพระราชินี และพระเจ้าพรหมทัตทรงถอนต้นโพธิ์ไม่ขึ้น แม้จะมีไพร่พลช่วยก็ตาม จึงทรงรับสั่งให้เอื้อยถอน มาให้พระองค์และเมื่อเอื้อยขออนุญาตมารดาของตน เอื้อยก็สามารถถอนต้นโพธิ์ขึ้นได้โดยง่าย พระเจ้าพรหมทัตทรงแปลกพระทัย และทรงดำริว่าเอื้อยมีบุญบารมีสมเป็นพระราชินี จึงพาไปอยู่ในวังและทรงตั้งให้เป็น พระราชินีของพระองค์
ในขณะเดียวกันแม่เลี้ยงและลูกสาวทั้งสองของนางก็เกิดความอิจฉาริษยาอย่างมากที่ได้รู้ข่าว ว่าเอื้อยตอนนี้ได้กลายเป็นพระราชินีไปแล้ว จึงไปหายายเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งก็ออกอุบายให้ส่งข่าวไปบอกราชินีเอื้อยว่าบิดาของนางเจ็บหนักใกล้จะตายแล้ว ทันทีที่ได้รับข่าวราชินีเอื้อยผู้กตัญญูก็รีบกลับมาเยี่ยมบิดาที่บ้าน แต่ก่อนที่จะเข้าบ้าน ผู้เป็นแม่เลี้ยงบอกให้นางถอดเครื่องทรงราชินีออกแล้วให้ไปอาบน้ำก่อนจึงค่อยไปพบบิดา ในขณะเดินเข้าไปในห้องด้านใน พระราชินีผู้น่าสงสารก็ตกลงไปในกระทะน้ำเดือดที่นางแม่เลี้ยงจอมริษยาซ่อนไว้เบื้องล่าง ยังผลให้พระราชินีสิ้นพระชนม์ในทันที จากนั้นอ้ายก็รีบแต่งเครื่องทรงพระราชินีและกลับวังโดยปลอมเป็นเอื้อย นางเข้าไปพบพระราชาผู้ซึ่งแสดงอาการไม่ค่อยจะเชื่อว่าเป็นเอื้อย แต่อ้ายก็ใช้คาถาที่ยายเฒ่าให้มาเสกให้พระราชาอยู่ใต้อำนาจของตน แม้กระนั้นพระราชาก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าทำไม่ต้นโพธิ์ จึงดูเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวา
หลังจากถูกฆาตกรรมแล้วราชินีเอื้อยก็ไปเกิดเป็นนกแขกเต้า ด้วยความรักและห่วงใยในพระราชา จึงบินมาหาพระองค์และกราบทูลให้พระองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด หลังจากสัตว์ผู้น่าสงสารกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงเลี้ยงดูนกแขกเต้าไว้ในกรงทอง และทรงพูดคุยด้วยเสมอ และแล้ววันหนึ่ง ราชินีปลอมอ้ายก็แอบมารู้จนได้ ดังนั้นในขณะที่พระราชาเสด็จออกป่าเพื่อคล้องช้างเผือกมาสู่บารมี ราชินีปลอมก็จับนกแขกเต้าผู้น่าสงสารถอนขนจนหมดแล้วส่งไปให้แม่ครัวทำแกงให้เสวย นกแขกเต้าแกล้งทำเป็นนอนตาย แม่ครัวเลยไม่สนใจปล่อยมันไว้ในครัวรอเวลาที่จะทำแกงนกถวายพระราชินีในตอนเย็น เจ้านกแขกเต้าผู้ปราศจากขนและทุกข์ทรมาน จึงสบโอกาสหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหนู เมื่อหานกที่นอนตายอยู่ไม่พบและกลัวจะมีความผิด แม่ครัวจึงไปหาซื้อนกอื่นมาแกงถวายพระราชินีแทน ฝ่ายแม่ครัวได้รับรางวัลตอบแทนเป็นผ้าสะใบ เจ้านกแขกเต้าผู้น่าสงสารอาศัยอยู่หนู จนกระทั่งขนขึ้นเต็มตัวก็บอกลาหนู ซึ่งก็อาสาพาไปส่งถึงชายป่าในขณะท่องเที่ยวไปในป่าอยู่ตามลำพังก็เกือบจะถูกงูกินไปแล้ว โชคดีที่นกใหญ่มาจับงูกินเสียก่อน และแล้วนกแขกเต้าก็มาพบ “พระฤๅษี” ผู้ซึ่งเกิดความสงสารก็เลยช่วยชุบนกแขกเต้าให้กลายเป็นหญิงสาวสวย พระฤๅษีก็เลี้ยงดูเอื้อยอย่างลูกสาวของตน แต่ก็สังเกตเห็นว่าลูกบุญธรรมของตนดูจะเหงาหงอยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นท่านจึงวาดรูปขึ้นหลาย ๆ รูปแล้วให้เอื้อยเลือกเอารูปเดียว หลังจากเลือกแล้วท่านก็จะเสกให้เป็นคน เอื้อยจึงเอารูปเด็กชายมอบให้ฤๅษีใช้คาถาเสกให้เป็นคนเพื่อที่นางจะได้ เลี้ยงดูเป็นบุตรชาย ท่านฤๅษีจึงตั้งชื่อเด็กชายนั้นว่า “ ลบ ”
เมื่อลบอายุได้ ๗ ขวบ ก็ถามหาชื่อบิดาของตน เอื้อยจึงเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด ลบจึงลามารดาไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต เอื้อยจึงร้อยมาลัยดอกไม้บอกเรื่องราวของตนให้ลบสวมคอไปเพื่อที่พระเจ้าพรหมทัตจะได้ทราบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับนาง เมื่อมาถึงพระนคร ลบก็ถามหาต้นโพธิ์ชาวเมืองพากันประหลาดใจที่เห็นเด็กชายสวมพวงมาลัยอันงามไว้บนคอ จึงพูดต่อกันไปทั่วเมือง พระราชาทรงทราบเข้าและสังหรณ์พระทัยว่าพระองค์อาจจะได้ทราบข่าวเกี่ยวกับเอื้อยบ้าง ดังนั้นจึงทรงรับสั่งให้เด็กเข้าเฝ้า และแล้วพระองค์ก็ได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดจากเด็กชายนั้น พระราชาทรงพระประสงค์ที่จะพบเอื้อยมาก แต่ก็กลัวเวทมนต์ของอ้าย ดังนั้นพระองค์จึงออกอุบายเสด็จประพาสป่า และเมื่อเสด็จมาถึงศาลาของฤๅษี พระองค์ก็ทรงโสมนัสยิ่งนักที่ได้พบพระราชินีของพระองค์ จากนั้นพระฤๅษีจึงช่วยให้พระราชาพ้นอำนาจเวทมนต์ ทั้งสองพระองค์ดีใจที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ก็ต้องเสียใจที่ต้องสูญเสียลบไป เพราะลบจะต้องกลายเป็นรูปวาดอย่างเดิมภายใน ๓ วัน นับจากวันที่สองพระองค์ได้พบกัน เพราะเป็นเงื่อนไขที่ฤๅษีกำหนดไว้ พระราชาทรงรับสั่งให้จัดงานฉลองรับขวัญพระราชินีเอื้อยเป็นเวลา ๗ วัน หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากไปนาน พระองค์รับสั่งให้ประหารชีวิตพระราชินีปลอมเสีย แต่เอื้อยกราบทูลขออภัยโทษ และพระองค์ก็ทรงเห็นด้วย แต่อ้ายฆ่าตัวตายเสียก่อนเพราะกลัวความผิด นางชิงฆ่าตัวตายเสียก่อนจะถูกจับตัวได้
พระราชาจะลงโทษพ่อแม่ของอ้าย ด้วยการส่งแกงที่ปรุงด้วยเนื้อของลูกสาวของทั้งสองไปให้ เพื่อเป็นการแก้แค้นต่อความโหดร้าย และโทษมหันต์ที่ทั้งคู่กระทำไว้ในอดีต ในเวลานั้นพระโพธิสัตว์ทรงเสด็จมาเทศนาโปรดพระราชาและพระราชินี พระองค์บอกให้ทั้งสองเอาชนะความเกลียดชังด้วยความรัก และไม่ให้จองเวรเพราะการจองเวรไม่มีวันรู้จบรู้สิ้น และพระโพธิสัตว์ได้บอกด้วยว่าที่พระราชินีต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส ก็เพราะบาปที่นางได้กระทำไว้ในชาติก่อน ดังนั้นพระราชาจึงทรงให้อภัยชายหาปลาและภรรยาของเขา และยังได้ชวนให้มาอยู่ในวังอย่างมีความสุข นับแต่บัดนั้น
……………………
(ข) สรุป
๑) ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๒) คนดีผีคุ้ม
๓) ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี
๔) เวรย่อมระงับ ด้วยการไม่จองเวร
ขอขอบคุณ : http://www.dek-d.com/board/view/1534264/