พระเอกนางเอก กับ ตัวโกงนางร้าย
***********
ธรรมโอวาท โดย “หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม”
...พระเอกนางเอกในเรื่องละครชีวิต ไม่มีความสบายเลยตลอดลาโลงของละครชีวิต มีแต่ความยากลำบากที่ต้องระหกระเหิน ต้องใช้อุดมการณ์ อุดมคติมากมาย ถ้าท่านทั้งหลายเกิดมากำพร้าพ่อกำพร้าแม่ ต้องช่วยตัวเองมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ประสบการณ์มากทุกวิถีทางนั่นแหล่ะจะมีอุดมการณ์มาก จะเป็นคนมีอุดมคติ มีทักษะ มีความเป็นนักคิด มีชีวิตอันเป็นแก่นสารของบุคคลที่มีผลงาน ดังที่ชี้แจงมา ณ บัดนี้
คนเราอยู่อย่างสบาย พ่อแม่เลี้ยงอย่างสบาย คอยดูต่อไปพ่อแม่ล้มหายตายจากไปแล้ว ไปมีครอบครัว ไปประสบความยากลำบากขึ้นมา อดทนไม่ได้ คนประเภทนี้ไม่ใช่พระเอกนางเอกในละครชีวิต กลับเป็นตัวโกง ตัวเล่ห์กระเท่ห์ ตัวหางเครื่องตลอดรายการ ท่านทั้งหลายดูหนัง ดูลิเก ดูละคร ดูหนังจีน พระเอกนางเอกต้องลำบากที่สุดจนชีวิตหาไม่ แต่ตัวโกง ตัวเฉฉวนชวนให้เราหลง งงในโมหะ มันบอกเราว่า อย่าเจริญกรรมฐานเลยเมื่อยเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ นี่แหล่ะศัตรูทั้งหลายมากระซิบ นั่งทำไม? มันเมื่อยมันขบไปหมด มาทรมานกายไม่ดีเลย นี่ศัตรูใช่ไหม? เราก็เชื่อศัตรูเป็นมาร
ฟัง ติดตามข้อสอง มารไม่มีบารมีไม่เกิดประเสริฐไม่ได้ ถ้ามารมีต้องต่อสู้มาร ขอฝากพี่น้องกรรมฐานไว้ทุกคน มีความหมายเพราะเหตุใด จะสร้างความดีมันมีศัตรูมากมายเหลือเกิน เรามีบุญแต่กรรมบังไม่อยากสร้างความดี มาปิดบังอำพรางเรา เรามานั่งเจริญพระกรรมฐาน เอาแต่ความสบาย วันนี้นั่งสบายไม่มีเวทนา จิตฟุ้งซ่าน ท่านคิดไหมว่าท่านจะได้อะไร? ครูไม่มาสอนท่านแล้ว ว่างเปล่า นั่งสบาย ใจก็ลอยออกไปชมวิวทิวทัศน์ ถือว่าได้ญาณ ถือว่าได้ผลงานนั่นแหล่ะ คือ ว่าเลว ไม่ได้อะไรเลย เพราะครูไม่มาสอน ครูเวทนาก็ไม่ได้มาสอน ครูฟุ้งซ่านก็ไม่ได้มาสอน ออกมาอย่างนี้นะ แต่ท่านตีความผิดทั้งนั้น เข้าใจว่านั่งสบายวันยังค่ำ ไม่เมื่อยไม่ปวด คิดว่าได้ฌานได้ญาณ คิดว่าได้สมาธิ ไม่ได้เลยนะ ไม่ได้อะไรเลย ตรงกันข้ามกับมารอันนี้ ถ้าเรามานั่ง ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก เดี๋ยวก็ปวด เดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน เดี๋ยวก็เสียใจ เดี๋ยวก็ดีใจ นั่นแหล่ะครูมาสอน ต้องเรียน ต้องเรียนตำรานั้นเรียกว่า “สมถะ” สมถะแปลว่าต้องศึกษาแสวงหาความรู้ ถ้ารู้จริงเมื่อไร พบของจริงได้ของจริงของแท้แน่นอนแล้ว จึงจะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็น "วิปัสสนา"
ขอฝากท่าน ไปตีความให้มันชัดเจนกว่านี้ จิตมีอุปาทาน จิตยึดเวทนา ยึดมากปวดมาก ยึดน้อยปวดน้อย ยึดมากหนักเข้ามันก็ปวดจนน้ำตาร่วง นั่นแหล่ะการศึกษาหาความรู้ เรียกว่า “สมถะ” กำหนดจิตต่อสู้ได้กับเวทนา พอทราบความจริงของเวทนาแล้ว มันบังคับบัญชาไม่ได้ เวทนาแปลว่าบังคับไม่ได้ บัญชาไม่ได้ ไม่มีตัว ไม่มีตน แต่มันปวดที่ไหน ปวดที่ขา ขานี่คืออะไร สังขารปรุงแต่ง อาศัยรูปอยู่ ณ บัดนี้ มันจึงปวด ดังที่กล่าวมา...
ที่มา :
พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี, หนังสือ “พุทโธโลยี : เรื่องชีวิตที่งดงามทำความดีนี้แสนยาก”