“พระเทวทัต” ลอบปลงพระชนม์ “พระพุทธองค์”
***********
แผนการของพระเทวทัต (พญามาร) ที่โลภมากในลาภยศสรรเสริญ อยากจะเป็นใหญ่และควบคุมทั้งทางอาณาจักรและพุทธจักร จึงได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ หลอกเจ้าชายอชาติศัตรูให้หลงใหลยอมเป็นศิษย์ หลังจากที่พระเทวทัตได้หลอกให้เจ้าชายอชาติศัตรูมกุฎราชกุมารให้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดาที่เป็นกษัตริย์แคว้นมคธลงแล้ว ก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน หลังจากนั้นพระเทวทัตซึ่งเป็นพระอาจารย์ของกษัตริย์พระองค์ใหม่ ก็ได้เริ่มแผนการอันชั่วช้าขั้นต่อไปในการครอบครองพุทธจักร โดยหวังจะเป็นพระบรมศาสดาแทนพระพุทธเจ้านั่นเอง
โดยได้ไปทูลต่อพระพุทธองค์ว่าพระพุทธเจ้าทรงชราภาพแล้ว ขอให้ทรงมอบตำแหน่งและกิจการบริหารคณะสงฆ์ให้แก่ตนเสีย แต่ถูกพระพุทธองค์ทรงตักเตือนด้วย “เขฬาสิกวาท” คือ ผู้กลืนกินก้อนน้ำลายก้อนเสลดที่บ้วนทิ้งแล้ว หมายความว่า นักบวชนั้นเมื่ออกบวชได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียสละแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ลูก เมีย ทรัพย์ และตำแหน่งฐานันดรต่างๆ พระเทวทัตก็ชื่อว่าสละสิ่งสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเมื่อตอนออกบวช แต่เหตุไฉนจึงย้อนกลับมายอมรับ ซึ่งเท่ากับมาขอกลืนกินสิ่งเหล่านี้อีก พระเทวทัตฟังแล้วเสียใจ เสียหน้า และผูกพยาบาทพระพุทธเจ้ายิ่งนัก จึงได้ดำเนินแผนการร้าย หวังที่จะประหารพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว จึงได้เริ่มแผนการที่อำมหิตและล้ำลึก ดังแผนการต่อไปนี้
แผนการที่ ๑ : ลอบสังหารโดยนายขมังธนู แล้วฆ่าตัดตอน
พระเทวทัตได้ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอชาติศัตรูที่เป็นศิษย์ ให้ทำการคัดเลือกนายขมังธนูฝีมือดี และมีจิตใจโหดเหี้ยมที่สุดจำนวน ๓๑ คน (จากนายขมังธนูทั้งหมด ๕๐๐ คน) เมื่อได้นายขมังธนูที่มีฝีมือเลิศและมีจิตใจโหดเหี้ยมที่สุด ๑ คน พร้อมสั่งไว้ให้ยิงนักบวชที่เดินทางผ่านมา แล้วก็แอบสั่งให้นายขมังธนูอีก ๒ คน แอบสุ่มอยู่ข้างทางเดินเพื่อลอบสังหารนายขมังธนูคนแรกเมื่อลงมือสำเร็จแล้ว จากนั้นก็ให้นายขมังธนูอีก ๔ คน ไปคอยดักสังหารนายขมังธนู ๒ คนนั้นอีกทอดหนึ่ง และก็ได้วางแผนฆ่าตัดตอนเป็นทอดๆ ถึง ๔ ขั้น เพื่อไม่ให้สามารถสาวถึงต้นตอและผู้บงการได้
ด้วยเดชะบุญและพุทธานุภาพ นายขมังธนูคนแรกขณะที่จะทำการลงมือยิงพระพุทธองค์ เกิดอาการชะงักงัน ไม่สามารถยิงลูกศรใส่พระพุทธองค์ได้ ทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวอย่างมาก แต่ด้วยพระมหากรุณาของพระพุทธองค์ได้ทรงสนทนาและให้ข้อคิดกับนายขมังธนูผู้นั้นด้วยวาจาอันไพเราะและน้ำพระทัยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา จนทำให้นายขมังธนูผู้นั้นเกิดความสำนึก และซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอ ทิ้งอาวุธ ก้มลงกราบและกล่าวคำขอขมาต่อพระพุทธองค์ถึง ๓ ครั้ง พระพุทธองค์ก็ทรงให้อภัยด้วยน้ำพระทัยที่เมตตา และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่านายขมังธนูผู้นั้นมีจิตใจที่ดีงาม พร้อมที่จะรับฟังธรรมอันลึกซึ้งแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่นายขมังธนูจนได้ดวงตาเห็นธรรมจนบรรลุโสดาบัน และก่อนที่จะทูลลากลับ พระพุทธองค์ทรงมีรับสั่งให้นายขมังธนูเดินทางกลับไปเส้นทางอื่นอย่าย้อนกลับไปในเส้นทางเดิมที่พระเทวทัตสั่งไว้
ส่วนนายขมังธนูอีก ๒ คนที่รอสังหารตัดตอนนายขมังธนูคนแรก เป็นเวลานานมาก จึงเดินสวนทางมาติดตามดู แต่ไม่พบ แต่ได้พบกับพระพุทธองค์แทน พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมให้นายขมังธนูทั้ง ๒ จนได้บรรลุโสดาบัน และก่อนที่ทั้งคู่จะลากลับ พระพุทธองค์ได้มีพระเมตตาแนะนำให้ทั้งคู่เดินทางกลับไปในเส้นทางอื่นไม่ต้องย้อนกลับไปทางเดิมที่พระเทวทัตสั่งไว้ (เพราะจะได้ไม่ถูกฆ่าตัดตอนด้วยนายขมังธนูอีก ๔ คน)
ในที่สุดแผนการฆ่าตัดตอนทั้ง ๔ ทอดของพระเทวทัตนี้ก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง บรรดานายขมังธนูทั้ง ๓๑ คน เมื่อทราบความจริง ก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและพระมหาเมตตาคุณของพระพุทธองค์ จึงพร้อมใจกันออกบวชเป็นพระภิกษุและก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
แผนการที่ ๒ : กลิ้งหินลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏ
เมื่อแผนการลอบสังหารพระพุทธเจ้าโดยนายขมังธนูไม่สำเร็จ พระเทวทัตได้เริ่มแผนการใหม่ขึ้นอีกครั้ง โดยครั้งนี้หวังว่าจะทำให้เกิดเป็นภัยธรรมชาติคือแกล้งแสร้งว่ามีหินกลิ้งลงมาจากภูเขาคิชกูฏลงมาทับพระพุทธองค์ ขณะเสด็จพระพุทธดำเนินจากภูเขาคิชฌกูฏเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านนั่นเอง เมื่อถึงเวลาพระเทวทัตก็ผลักก้อนหินก้อนหนึ่งที่ได้เลือกและเตรียมการไว้อย่างดีแล้ว ให้กลิ้งลงมาจากภูเขาลงมาสังหารพระพุทธองค์ แต่เดชะบุญและพุทธานุภาพของพระบรมศาสดา หินก้อนก้อนนั้นได้กระเด็นกระทบกับหินอีกก้อนหนึ่งแล้วก็แตกกระจายเป็นก้อนเล็กก้อนน้อยหลายก้อน และมีก้อนหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งกระเด็นมากระทบพระพุทธบาทของพระพุทธองค์ จนทำให้พระพุทธบาทห้อพระโลหิต คือ โลหิตุปบาท (เท้าห้อเลือด) ซึ่งถือว่าเป็นอนันตริยกรรมหรือกรรมหนัก (ซึ่งมีอยู่ ๕ ประการ คือ (๑) ฆ่ามารดา (๒) ฆ่าบิดา (๓) ฆ่าพระอรหันต์ (๔) ทำให้พระพุทธบาทห้อเลือด (๕) ทำให้พระสงฆ์แตกแยกความสามัคคี ซึ่งกรรมหนักเหล่านี้ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน เมื่อวิญญาณออกจากร่างก็จะต้องตกนรกอเวจีสถานเดียวเท่านั้น) ของพระเทวทัตเลยทีเดียว
แผนการที่ ๓ : มอมเหล้าพญาช้างนาคีรี
เมื่อพระเทวทัตกระทำการลอบสังหารพระพุทธองค์ทั้ง ๒ ครั้งแต่ก็ไม่สามารถที่จะสังหารพระพุทธเจ้าได้ ครั้นเมื่อได้รับพระราชทานพญาช้างนาคีรีจากพระเจ้าอชาติศัตรูที่เป็นศิษย์ของตนเป็นพาหนะก็ดีใจ และเกิดคิดแผนการร้ายขึ้นมาได้อีก โดยครั้งนี้ได้ทำการยกยอและปลุกปลั่นนายควาญช้าง ให้ทำการมอมเหล้าพญาช้างนาคีรีซึ่งกำลังตกมัน ให้เมามาย ครั้นรุ่งอรุณตอนเช้าที่พระบรมศาสดาพร้อมเหล่าพระสงฆ์สาวกบริวาร เสด็จออกภิกษาจารตามถนนในกรุงราชคฤห์ ก็ให้ปล่อยพญาช้างนาฬาคีรีที่กำลังตกมันและเมามาย ซึ่งกำลังดุร้ายสุดขีดให้พุ่งออกไปทำร้ายพระพุทธองค์ ในขณะที่ชาวกรุงราชคฤห์กำลังยืนชมพระพุทธบารมีและรอถวายภัตตาหารเช้าแก่พระบรมศาสดาและเหล่าพระสงฆ์สาวกเต็มสองข้างทางเดินในกรุงราชคฤห์อยู่นั้น จู่ๆก็มีพญาช้างตกมันคำรามลั่นและวิ่งออกมาตามถนนอย่างบ้าคลั่งแล้วและเกรี้ยวกราด ชาวกรุงราชคฤห์ก็ตกใจและแตกตื่นวิ่งหนีตายกันอลหม่าน พญาช้างนาคีรีวิ่งตรงพุ่งเข้าใส่พระบรมศาสดาที่กำลังเสด็จพระพุทธดำเนินนำหน้าเหล่าพระสงฆ์สาวกที่เป็นบริวาร
ครั้นพญาช้างนาฬาคีรีวิ่งมาถึงตรงหน้าพระบรมศาสดาก็หยุดอยู่ไม่ได้เข้าทำร้ายพระพุทธองค์ พร้อมทั้งลดความเกรี้ยวกราดลง และก็มอบกราบแทบพระพุทธบาท แล้วก็ใช้งวงปัดเป่าเศษดินเศษฝุ่นออกจากพระพุทธบาททั้งสองด้วยความเคารพและนอบน้อมยิ่งนัก เป็นที่แปลกประหลาดและสงสัยแก่เหล่าพระสงฆ์และชาวกรุงราชคฤห์ยิ่งนัก พระบรมศาสดามีพระมหาเมตตาได้ทรงยกพระหัตถ์ลูบศรีษะพญาช้าง แล้วประทานโอวาทว่า
“ดูกร! นาฬาคีรี แต่นี้ไป เจ้าจงสลัดเสียซึ่งปาณาติบาต อย่าได้ประมาทจิตคิดอาฆาตโกรธแค้นใครๆ จงมีเมตตาจิตทั่วไปในคนและสัตว์ จงมีโสมนัสหนักแน่นในเมตตาขันติ เมื่อเจ้าวางวายจากภพนี้แล้วจะได้ไปสู่สุคติสถาน พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานต่ำศักดิ์นี้ เป็นกุศลคุณอันหนักที่เจ้ามาพบเราตถาคต จงอุตสาห์ตั้งใจกำหนดวิรัติปฏิบัติจนตราบเท่าอายุขัยนี้เถิด”
ในที่สุดความลับต่างๆ ก็ถูกเปิดเผยความจริง ถึงแม้ว่าแผนการลอบสังหารพระบรมศาสดาครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ จะยังไม่ชัดเจนในพยานและหลักฐาน จึงทำให้พระเทวทัตและพระเจ้าอชาติศัตรูรอดพ้นคำครหาไปได้ แต่เหตุการณ์ในครั้งที่ ๓ นี้ มีพยานและหลักฐานชัดเจน และมีผู้คนรู้เห็นกันมากมาย ทำให้เกิดการสอบถาม และสืบสาวราวเรื่องต่างๆ จนรู้ที่มาที่ไปและผู้บงการ ตลอดจนผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด จึงทำให้พระเจ้าอชาติศัตรูต้องยกเลิกการส่งเสริมและให้สนับสนุนพระเทวทัตก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป ส่วนพระเทวทัตเองนั้น เมื่อเสื่อมถอยในทุกสิ่งทุกอย่าง และเมื่อกรรมหนักต่างๆ ที่ได้กระทำขึ้นครบถ้วนทั้งทางกาย วาจา และใจได้ส่งผลแล้ว ถึงแม้ว่าจะสำนึกได้ และอยากจะไปพบกับพระบรมศาสดาเพื่อขออโหสิกรรม แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อลงจากคานหามของพระลูกศิษย์ ทันทีที่เท้าแตะพื้นดิน แผ่นดินก็แยกแยกออกสูบเอาร่างของพระเทวทัตจมลงสู่พื้นพระแม่ธรณี และดวงวิญญาณของพระเทวทัตก็ตกนรกอเวจีเสวยกรรมหนักอย่างทุกข์ทรมานตราบนานเท่านาน เอวัง!
.......................
สุ จิ ปุ ลิ
๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๙
ขอขอบคุณ :
(๑) www.dhamma-gateway.com
(๒) crs.mahidol.ac.th
(๓) facebook พุทธธรรมนำใจ