ก. เกริ่นนำ
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กก็เคยได้ยิน และได้อ่านนิทาน เรื่อง “จันทโครพ” นี้แล้ว และยังได้ดูลิเกเรื่องนี้ ตลอดจนได้ดูละครทีวีเกี่ยวกับจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องนี้ด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็ได้ข้อคิดบ้าง ครั้นเติบโตขึ้นมาได้สนใจและค้นคว้าเกี่ยวกับพระธรรมคำสั่งสอนของ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” โดยเฉพาะเกี่ยวกับ “กฎแห่งกรรม” และ “การเวียนว่ายตายเกิด” ของเวไนยสัตว์ทั้งหลายใน “สังสารวัฏ” อันยาวนานไม่รู้จบรู้สิ้นนี้ พบว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงในอดีตชาติของ “พระโพธิสัตว์” พระองค์หนึ่ง และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพระองค์
ซึ่งเรื่อง “จันทโครพ” นี้ บางครั้งก็เรียกว่าเรื่อง “โมรา” เพราะว่าโมรามักจะถูกมองว่าเป็นหญิงชั่วร้ายที่ฆ่าได้แม้กระทั่งสามีตนเอง โดยส่งพระขรรค์ให้ “โจรป่า”ลงมือฆ่าสามีตนเอง ดังนี้
ข. เนื้อเรื่อง (โดยย่อ)
“เจ้าชายจันทโครพ” เป็นโอรสของ “พระเจ้าพรหมทัต” แห่ง “กรุงพาราณสี” ซึ่งพระองค์ทรงรักพระโอรสดั่งดวงพระทัยของพระองค์เลยทีเดียว ดังนั้นพระกุมารจึงแวดล้อมไปด้วยพระพี่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากพระกุมารจะต้องปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้า จึงจำเป็นจะต้องไปศึกษาวิชาทุกแขนงอันเป็นประโยชน์ต่อการปกครองของตนในอนาคต วันหนึ่งในขณะที่ทรงเพลิดเพลินอยู่ในพระราชอุทยานนั้น พระราชาก็ทรงรับสั่งให้พระกุมารเข้าเฝ้าแล้วรับสั่งให้พระกุมารไปศึกษาศิลปะวิชาการกับพระฤๅษีในป่า
พระกุมารก็ยินดีปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระราชบิดา และเดินทางไปทำการศึกษาวิชาความรู้อยู่กับพระฤๅษีในป่า หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว เจ้าชายจันทโครพก็เข้าไปกราบลาพระอาจารย์(ฤาษี)กลับบ้านเกิดเมืองนอนของตน
ก่อนจากลาพระอาจารย์ก็ได้ให้พร ว่าแล้วพระฤๅษีก็หยิบเอา “ผอบ” เล็ก ๆ ส่งให้พร้อมกับกำชับอย่างหนักแน่น “ เจ้าจงเก็บไว้กับตัว แต่จงจำไว้ว่าเจ้าจะเปิดผอบได้ก็ต่อเมื่อถึงเมืองของตนแล้วเท่านั้น อย่าเปิดในระหว่างเดินทาง มิฉะนั้นเจ้าจะประสบอันตรายถ้าไม่เชื่อฟัง ” พระฤๅษีกล่าวขึ้น “ ครับท่านอาจารย์ หลานจะเปิดผอบก็ต่อเมื่อหลานถึงบ้านเมืองของหลานแล้วเท่านั้น ” เจ้าชายยืนยันหนักแน่น หลังจากนั้นจันทโครพก็มุ่งหน้าเดินทางกลับบ้านเมืองของตน
เมื่อถึงเวลาเสวยอาหารกลางวันก็เข้าไปนั่งใต้ต้นโคนร่มไม้ แล้วควักห่ออาหารแห้งที่เตรียมไว้ก่อนลาพระอาจารย์มาเสวย หลังจากเสวยเสร็จก็เกิดเคลิ้มหลับไป และก็สุบินว่า ผอบที่พระอาจารย์ให้ไว้นั้นหลุดจากมือตนตกลงน้ำไปแล้ว พระสุบินนี้เองที่กระตุ้นให้พระองค์อยากเปิดผอบดู แต่ก็ยังคงกังวลถึงคำสั่งของพระอาจารย์ ในระหว่างทาง เจ้าชายหนุ่มก็ทรงครุ่นคิดถึงผอบที่ติดตัวมาตลอดเวลา และแปลกพระทัยว่าอะไรหนอที่อยู่ข้างในนั้น ยิ่งนึกก็ยิ่งอยากเปิดดูให้แน่ และในที่สุด พระองค์ก็ตัดสินพระทัยผิดคำพูดโดยการเปิดผอบออกดู
และในทันทีที่ฝาผอบถูกเปิดออก ก็มีหญิงสาวผู้เลอโฉมปรากฏออกมาจากผอบใบนั้น เธอส่งยิ้มหวาน ๆ ให้เจ้าชายหนุ่มผู้ซึ่งทอดพระเนตรอยู่ด้วยความตื่นเต้นและแนะนำตัวนางว่า “ นายจ๋า หม่อมฉันชื่อโมราเพค่ะ พระฤๅษีใส่หม่อมฉันไว้ในผอบใบนี้ หม่อมฉันดีใจมากที่ได้เป็นอิสระเสียที ” ทันทีที่เห็นหญิงสาวสวยงามเป็นที่ต้องพระทัยมากนัก เจ้าชายหนุ่มก็ตกหลุมรักในทันที และขอให้นางเป็นชายาของพระองค์ และแล้วทั้งคู่ก็ได้เสียเป็นสามีภรรยากันอย่างมีความสุข โดยเจ้าชายได้สัญญากับนางว่าจะยกตำแหน่ง “อัครมเหสี” ให้กับนางอีกด้วย
แล้วทั้งคู่ก็เดินทางกันต่อไปในป่า ซึ่งเจ้าชายจันทโครพดีพระทัยและมีความสุขมากที่มีเพื่อนเดินทางแต่ในขณะเดียวกันก็ทรงกังวลว่าทำไมพระฤๅษีจึงห้ามไม่ให้เปิดผอบในระหว่างทาง ทรงครุ่นคิดเพียงลำพังแล้วก็สรุปเอาเองว่าพระฤๅษีอาจจะทดสอบดูว่าตนเป็นคนสอดรู้สอดเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พระฤๅษีพูดนั้นก็ปรากฏว่ากำลังจะเป็นจริงแล้ว เพราะว่ามี “โจรป่า” แอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ ๆ นั้น เขาแอบดูความเคลื่อนไหวของทั้งคู่อยู่อย่างเงียบ ๆ และเมื่อได้เห็นความงามของนางโมราก็อยากได้ไปเป็นภรรยา ช่วงเวลานั้นโมรารู้สึกกระหายน้ำมาก คอของนางแห้งผากแต่ว่าไม่มีน้ำสักหยดให้นางดื่มกินได้ เจ้าชายจันทโครพก็ใช้พระขรรค์แทงเนื้อของตัวเอง แล้วรินพระโลหิตให้โมราได้ดื่มกินแก้กระหาย
ในขณะนั้นเองโจรป่าก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ทันทีและยืนอยู่เบื้องหน้าของทั้งคู่ โจรป่ากล่าวหาทั้งคู่ว่าบุกรุกเข้ามายังถิ่นของตน แต่เจ้าชายยืนกรานว่า ป่าไม้ไม่ใช่ที่ของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ แล้วชายทั้งสองจึงเกิดโต้เถียงกันอย่างรุนแรง โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีกต่อไป เจ้าโจรป่าก็พุ่งเข้าใส่จันทโครพแล้วชกเขาล้มลงกับพื้นก่อนที่จันทโครพจะมีโอกาสชักพระขรรค์ออกมาเสียด้วยซ้ำไป ทั้งคู่ต่อสู้กันอยู่บนพื้นอยู่พักหนึ่งก่อนที่โจรป่าได้เปรียบ แต่เจ้าชายมีทักษะในการต่อสู้ได้ดีกว่าเพราะได้รับการสั่งสอนมาจากพระฤๅษี จันทโครพจึงสามารถผลักโจรป่าออกไปได้ และเรียกให้ภรรยาส่งพระขรรค์ให้กับตน โมราจับพระขรรค์ไว้แต่ลังเลที่จะส่งให้สามีตนเพราะไม่ต้องการให้เจ้าชายฆ่าโจรป่าผู้ซึ่งเป็นคนที่นางมีใจให้อยู่ด้วยเหมือนกันในตอนนี้ เมื่อนางไม่สามารถจะตัดสินใจได้ในยามคับขันเช่นนี้ นางก็วางพระขรรค์ไว้ตรงกลางชายทั้งสอง แต่ว่าให้ด้ามหันไปทางโจรป่า ในขณะที่ด้านคมหันไปทางสามีทั้งคู่จึงกรูกันไปแย่งอาวุธในเวลาพร้อมกัน จันทโครพถูกคมมีดบาดมือจึงปล่อยพระขรรค์ เป็นจังหวะที่โจรป่าได้โอกาสเพราะกำด้ามพระขรรค์ จึงได้แทงเจ้าชายจันทโครพจนสิ้นพระชนม์อยู่ตรงนั้นเอง ร่างของเจ้าชายนอนจมกองเลือดอยู่อย่างนั้น ตอนนี้เองที่โมรารู้สึกเสียใจที่เห็นร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าชายจันทโครพแต่ก็สายเกินไปที่จะช่วยชีวิตให้ฟื้นคืนมาได้
และแล้วนางก็ตามโจรป่าผู้ซึ่งจูงมือนางนำทางไป หลังจากได้โมราเป็นภรรยาแล้วโจรป่าก็มาคิดตรึกตรองว่า หญิงผู้นี้เป็นคนชั่วร้ายเพราะแม้แต่สามีของนางก็ยังทรยศได้ลงคอ นางฆ่าได้แม้กระทั่งชายผู้เป็นเจ้าชายและเป็นองค์รัชทายาท ซึ่งเสียสละเลือดให้นางได้ดื่มกินแทนน้ำ ต่อไปในภายภาคหน้านางก็อาจจะกระทำแบบนี้กับเขาก็ได้นับประสาอะไรกับโจรป่าอย่างเรา ในขณะที่โมรานอนหลับโจรป่าก็ทิ้งนางไว้ในป่าแต่เพียงลำพัง เมื่อตื่นขึ้นมาไม่พบสามีใหม่ โมราก็หลงทางในป่าแต่เพียงลำพัง และรู้สึกกระหายน้ำและหิวอาหารอย่างมาก นางไม่รู้ว่าจะหาอาหารได้อย่างไร จึงได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นเอง
ฝ่าย “พระอินทร์” (ท้าวสักเทวราช) เมื่อเล็งทิพยเนตรเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็เสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อสอนบทเรียนแก่โมราให้เข็ดหลาบ และช่วยชุบชีวิตจันทโครพ แล้วพระองค์ก็แปลงร่างเป็น “เหยี่ยว” คาบชิ้นเนื้อไว้ในปาก ทันทีที่เห็นชิ้นเนื้อในปากนกเหยี่ยว โมราก็ร้องเรียกขอส่วนแบ่งบ้าง แต่เหยี่ยวทำเป็นแกล้งถามว่านางจะให้อะไรเป็นของแลกเปลี่ยนกับชิ้นเนื้อของตน โมราไม่รีรอที่จะเสนอตัวเองเป็นภรรยาของสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่นเหยี่ยว เมื่อได้ยินเช่นนี้นกเหยี่ยวก็โกรธมาก และทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นพระอินทร์อย่างเดิม พระองค์ชี้นิ้วไปที่โมราและประณามว่า “… เจ้าเป็นหญิงชั่วร้าย แม้ว่าเจ้าจะมีสามีที่ดีแสนดี เจ้าก็ยังแบ่งใจให้ชายอื่น ที่ตนไม่รู้จักมาก่อน เมื่อโจรป่าหนีไปจากเจ้าตอนนี้เจ้าก็ยังยกกายให้เป็นภรรยาของเหยี่ยวอีกเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งชิ้นเนื้อเท่านั้น เจ้าพร้อมที่จะสมสู่กับสัตว์เดรัจฉานโดยปราศจากยางอาย… ”
ทันทีที่สิ้นคำประมาณของพระอินทร์ร่างของโมราก็ถูกสาปกลายเป็น “ชะนี” พร้อมน้ำตานองหน้าร้องเรียกหา... ผัว ผัว ผัว ผัว ผัว... แล้วนางชะนีที่มีหน้าเศร้าก็โดดเข้าป่าหายไป ตั้งแต่นั้นมาชะนีก็จะร้องหาผัวอยู่ตลอดเวลา
บางแห่งก็จบเนื้อเรื่องแต่เพียงเท่านี้ แต่ก็มีบางแห่งกล่าวว่าพระอินทร์ทรงร่ายมนต์ชุบเจ้าชายจันทโครพให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง และทรงตรัสสอนเจ้าชายว่า “...เราคือพระอินทร์ เจ้ามีกรรมแต่หนหลัง โมราเป็นหญิงชั่วร้ายไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองของเจ้า หญิงที่เกิดมาเพื่อเป็นภรรยาของเจ้าแท้ที่จริงแล้วเป็นธิดาพญานาค ให้เจ้าเดินทางไปทางทิศเหนือแล้วก็จะพบกัน...” พระอินทร์ทรงตรัสแล้วก็หายไป
กล่าวกันว่าเจ้าชายจันทโครพก็ได้พบเนื้อคู่ในอนาคตของพระองค์ ที่มีนามว่า “ นางมุจลินท์ ” ซึ่งเป็นธิดาของ “พญานาคภุชงค์” เจ้าแห่งเมืองบาดาล โดยพระบิดาได้นำมาอาศัยอยู่ใน “ถ้ำทอง” ในป่า ซึ่งบิดาของนางรักนางดุจดวงใจ จึงให้นางอยู่แต่ในถ้ำทองท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนาจากเหล่า “นาค” และยังผูก “หุ่นพยนต์” ให้เป็น “ยักษ์” ไว้คอยอารักขาและอยู่เป็นเพื่อนอีกด้วย
เมื่อจันทโครพเดินทางมาถึงถ้ำก็แอบดูและสังเกตการณ์ก็พบว่ามีพระธิดาแสนสวยอยู่ในถ้ำจริง จึงร่ายมนต์เรียก “พญาครุฑ” มาไล่จับกินเหล่านาค และได้เสกพระคาถาปราบยักษ์จากหุ่นพยนต์ซึ่งได้กลายเป็นมัดฟางแทน แล้วก็สามารถเล็ดลอดเข้าไปหานางมุจลินท์จนได้ และได้เกี๊ยวพาราสีนางจนกระทั่งนางหลงรักพระองค์ แล้วทั้งคู่อยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาอย่างมีความสุข จนกระทั่งนางมุจลินท์มีครรภ์อ่อนๆ แล้วจันทโครพก็ตัดสินใจเข้าไปขอขมาพญานาคภุชงค์ และได้ขอลาพาภรรยาออกเดินทางไปยังเมืองของเจ้าชายจันทโครพ เพราะพระราชบิดาของพระองค์กำลังรอการกลับมาของพระองค์
แล้วก็พาภรรยาออกเดินไปสักพักก็เหนื่อย แล้วก็เผลอหลับไปทั้งคู่ และก็ได้มี “นางยักษ์” ได้มาเจอและเมื่อพบเห็นจันทโครพเข้านางยักษ์ก็ให้นึกเสน่หาในจันทโครพยิ่งนัก แล้วก็ได้ใช้อิทธิฤทธิ์นำตัวนางมุจลินท์ไปฟาดกับต้นไม้แล้วเหวี่ยงไปอย่างสุดแรงจนตกทะเลไป จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นนางมุจลินท์ไปนอนข้างจันทโครพแทน เมื่อจันโครพเดินทางมาถึงเมืองก็ขอตัวเข้านอนพักผ่อน พอตกตอนกลางคืนนางยักษ์ก็หนีออกไปไปกินวัวของชาวบ้านโดยหารู้ไม่ว่าเจ้าของวัวเขายืนดูอยู่ เจ้าของวัวจึงไปบอกพระราชา (พระบิดาของจันทโครพ) (ส่วนนางยักษ์ได้นำเสื้อผ้าที่เลอะเลือดไปซ่อนไว้) แต่ตอนนั้นดึกมากแล้วจึงขอพูดกันพรุ่งนี้เช้า
เมื่อเช้าแล้วจันทโครพก็ได้ปลุกนางมุจลินท์ปลอม โดยได้บอกเรื่องคดีเเปลกประหลาดเมื่อคืนนี้ คือมียักษ์กินวัวของชาวบ้านแก่นางยักษ์ แต่นางยักษ์ไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยแสร้งบอกว่าไม่สบายให้จันทโครพออกมาเข้าเฝ้าคนเดียว แล้วพระโหราธิบดีก็ตรวจดูดวงให้จันทโครพแล้วบอกว่าพรุ่งนี้ให้จันทโครพพานางมุจลินท์มาด้วย พอวันรุ่งขึ้นพระโหราธิบดีถามนางมุจลินท์เกี่ยวกับเวลาที่เกิดแต่นางยักษ์ไม่รู้จึงบอกวันผิดๆ ไป พระโหราจึงบอกว่า บัดนี้ความจริงเปิดเผยแล้วเจ้าไม่ใช่คนแต่เจ้าเป็นนางยักษ์ นางยักษ์หน้าถอดสี เมื่อจันทโครพทราบความจริงก็เสียพระทัยมาก จึงยิงศรฆ่านางยักษ์ตาย
แล้วก็ออกตามหานางมุจลินท์จนพบ และตอนนั้นนางมุจลินท์ได้คลอดบุตรชายแล้วชื่อ “จันทวงศ์” ต่อมาทั้งสามพระองค์ก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ในกาลต่อมาจันทวงศ์ก็ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดาจันทโครพ และได้ทำการปกครองพระนครพาราณสีอย่างมีความสุขเรื่อยมาตราบจนสิ้นอายุขัย
ค. สรุป
ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณต่างก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ต่อไป จนกว่าว่าจะบรรลุ “พระนิพพาน” ในที่สุดนั้นเอง
............................