แก้วหน้าม้า : ตำนานว่าวสื่อรัก
****************************************
ก. มูลเหตุจูงใจ
หลวงปู่ฯ (ในป่า) เคยสอนผมไว้ว่า “ตำนานว่าวสื่อรักนี้ มีอยู่หลายตำนาน เพราะกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ มักจะเกิดซ้ำ ลองศึกษาค้นคว้าดูนะ...” เมื่อก่อนหน้านี้หลายปีผ่านมา ผมก็ได้ศึกษาค้นคว้า “ตำนานรักอมตะเจ้าแม่เขาสามมุก” และเคยได้เผยแพร่และแบ่งปันกันไปแล้ว มาในปีนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๘) มีละครทีวีในแนวจักรๆวงศ์ ของทีวีช่อง ๗ สี กำลังออกอากาศในวันเสาร์และอาทิตย์ ลูกหลานและญาติๆ ต่างชอบดูกัน ผมไม่ค่อยได้ดู แต่ก็ไม่รู้มีอะไรดลใจให้ศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ เมื่อวันพุธที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ทำให้ถึงบางอ้อเลยว่า ที่หลวงปู่ฯ (ในป่า) ท่านบอกสอนไว้นั้นเกี่ยวกับ “ตำนานว่าวสื่อรัก” มีหลายครั้งหลายเหตุการณ์และเกิดขึ้นซ้ำอีกมีจริงๆ โดยนิทานเรื่องแก้วหน้าม้านี้เกิดขึ้นในอดีตโบราณกาลนานมาแล้ว ส่วนตำนานรักอมตะเจ้าแม่เขาสามมุกนั้น เกิดขึ้นเมื่อตอนปลายกรุงศรีอยุธยาของไทยเรานี้เอง
ข. เนื้อเรื่อง (โดยย่อๆ)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า “ มิถิลา ” เมืองนี้ปกครองโดยกษัตริย์ทรงพระนามว่า “ ภูวดลมงคลราช ” พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า “ พระนางนันทา ” ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสทรงพระนามว่า “ ปิ่นทอง” พระองค์มีรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณดีและสง่างาม แต่มีความดื้อและซุกซนมาก พระนครมิถิลาเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขมาอย่างช้านาน
ในเมืองนี้มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีลูกสาวหน้าตาคล้ายม้า ก่อนคลอดนั้น มารดาของนางฝันว่ามีเทวดานำแก้วมาให้นาง ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อลูกสาวของนางว่า “ มณี ” หรือ “ แก้วหน้าม้า ” และถึงแม้ว่านางจะมีหน้าหน้าประหลาด นางก็มีความเฉลียวฉลาด มีมนต์วิเศษสามารถทำนายดินฟ้าอากาศได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น นางจึงสามารถบอกให้ชาวนาปลูกพืชผลตรงตามสภาพดินฟ้าอากาศ ความรู้ของนางไม่ได้นำมาซึ่งความมั่นคงแต่เฉพาะครอบครัวของนางเท่านั้น แต่งยังรวมไปถึงชุมชนทั้งหมดอีกด้วย
วันหนึ่ง เจ้าชายปิ่นทองทรงปล่อยว่าวตัวโปรดขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งก็เกิดขาดลอยตามลมมาตกลงเบื้องหน้าของแก้วพอดี เมื่อนางเห็นว่าวรูปร่างลักษณะดีก็ตัดสินใจยึดเป็นของตนเองแต่เพียงอึดใจต่อมา ข้าราชบริพารของเจ้าชายก็มาถึงและขอว่าวคืน แก้วปฏิเสธที่จะให้พวกเขา และยืนกรานที่จะคืนให้กับผู้ที่เป็นเจ้าของเท่านั้น เมื่อเจ้าชายเสด็จมาถึงที่นั้นและได้ยินที่แก้วพูดก็ทรงโกรธมาก และคิดว่าหญิงผู้นี้พูดจาโยกโย้น่ารำคาญพระองค์จึงเกลียดนางยิ่งนัก เมื่อเห็นนางมีใบหน้าที่ประหลาดก็แปลกใจ แต่ด้วยความที่อยากได้ว่าวของตนคืนจึงแกล้งทำดีกับนางไปอย่างนั้นเอง เจ้าชายสัญญาจะให้รางวัลแก่นางอย่างงาม เพื่อแลกเปลี่ยนกับว่าวตัวโปรดของพระองค์ แต่แก้วปฏิเสธที่จะรับสิ่งใด ๆ นางต้องการให้เจ้าชายอภิเษกสมรสกับนาง แล้วนำนางไปอยู่ในวังด้วย โดยที่ไม่ทรงคิดจริงจัง เจ้าชายก็ตกลงตามความต้องการของนาง เพียงเพื่อจะให้ได้ว่าวกลับคืนมาเท่านั้น หลังจากได้ว่าวแล้วเจ้าชายปิ่นทองก็หายเงียบไปโดยไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนางแต่อย่างใด แก้วรอเจ้าชายเป็นเวลาหลายวันแต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของพระองค์ ดังนั้นนางจึงอ้อนวอนให้บิดามารดาของนางไปเข้าเฝ้าพระราชา และทูลถามพระองค์เกี่ยวกับสัญญาที่พระโอรสของพระองค์ให้ไว้กับนาง
แรกที่เดียว สองสามีภรรยาก็บอกให้ลูกสาวของตนเสงี่ยมเจียมตัว แต่แก้วก็ล้มป่วยลงเพราะไม่ยอมกินอะไร บิดามารดาของนางกลัวลูกสาวจะอดข้าวตาย จึงต้องไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ ซึ่งก็ทำให้พระองค์ทรงพิโรธในทันทีที่ได้ทราบเรื่อง อย่างไรก็ตามพระราชินีทรงมีเมตตาต่อพวกเขา และสัญญาว่าจะถามพระโอรสเกี่ยวกับคำสัญญาส่งเดชนี้ให้ หลังจากได้รับการกราบทูลให้ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดจากพระโอรสของนางแล้ว พระราชินีก็รับสั่งให้เจ้าชายรักษาคำพูด ดังนั้นจึงได้ส่งนางกำนัลให้ไปรับแก้วเข้าวัง แต่แก้วปฏิเสธที่จะมาเพราะว่านางต้องการนั่งวอทอง ที่ใช้โดยพระบรมวงศ์ของกษัตริย์ หลังจากได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา แล้วแก้วก็มาอยู่ในวัง ซึ่งก็ไม่ได้ให้ความสุขดังที่ตนคาดหวังไว้ เพราะเจ้าชายไม่เคยขอนางแต่งงาน
วันหนึ่งพระเจ้าภูวดลรับสั่งให้แก้วเข้าเฝ้าและทรงตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าหากนางสามารถนำภูเขาพระสุเมรุมาประดับพระราชอุทยานได้ แล้วพระองค์ก็จะจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นางกับเจ้าชายปิ่นทอง แต่ถ้าหากนางทำไม่ได้ นางก็จะได้รับโทษประหารชีวิต ด้วยความดีใจและรักในพระโอรสปิ่นทองมาก นางก็รีบตกปากรับคำในทันใดโดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบซะก่อน แล้วนางก็รีบออกเดินทางไปเขาพระสุเมรุทันที ถึงแม้ว่านางจะเดินผ่านป่าดงพงไพร และต้องเผชิญกับสิงสาราสัตว์ที่อันตรายและดุร้ายต่างๆ นาๆ ก็ตาม นางก็ไม่หวั่น ด้วยความรักแท้ของนางที่อยากจะได้อยู่กับคนรักของนาง นางเดินทางมาหลายวันด้วยความอิดโรยและยากลำบาก แต่ก็ไม่เห็นทีท่าว่าจะพบเขาพระสุเมรุแต่อย่างใด จนนางได้สลบและหมดสติลงไป หลังจากฟื้นคืนสตินางก็ได้พบพระฤๅษีผู้ซึ่งรู้สึกสงสารนาง เพราะนางไร้เดียงสาเกินไปที่จะล่วงรู้ถึงกลลวงได้พระฤๅษีจึงตัดสินใจช่วยนาง และด้วยอำนาจเวทมนต์วิเศษของตน ตอนนี้แก้วก็สามารถถอดหน้ากากม้าออกได้ และปรากฏเป็นสาวสวยเมื่อไรก็ได้ พระฤๅษียังได้มอบหนังเสือซึ่งสามารถกลายเป็นเรือเหาะหรืองูก็ได้ และมอบไม้เท้าซึ่งสามารถแปลงเป็นมีดวิเศษได้ และแล้วพระฤๅษีก็บอกให้นางนำมาเพียงก้อนหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่ง จากภูเขาพระสุเมรุแล้วนำไปวางไว้ในพระราชอุทยานเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เพราะราชาไม่ได้เอ่ยถึงภูเขาทั้งลูก หลังจากวางก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งในพระราชอุทยานแล้ว แก้วก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาก็ได้แต่เงียบขรึม เมื่อทรงทราบความจริงแล้ว พระราชินีก็รับสั่งให้จัดพิธีอภิเษกสมรสตามสัญญาที่ให้ไว้กับแก้ว ซึ่งก็สร้างความไม่พอพระทัยให้กับพระราชาและเจ้าชายอย่างยิ่ง
ต่อมาภายหลัง พระราชาก็ทรงดำริถึงแผนการอื่นที่จะกำจัดแก้ว พระองค์จึงส่งพระราชสาสน์ไปยัง “พระเจ้าพรหมทัต” กษัตริย์ผู้ครองเมืองโรมวิถี เพื่อขอพระธิดาของพระองค์ ซึ่งพระนามว่า “ทัสมาลี” ให้เจ้าชายปิ่นทอง พระเจ้าพรหมทัตก็ตอบตกลง และกำหนดวันสำหรับโอกาสอันเป็นมงคล เมื่อเจ้าชายปิ่นทองเตรียมเดินทางออกจากเมืองโดยเรือ แก้วก็มาแสดงความไม่พอใจต่อพระองค์ และตำหนิพระองค์ว่าไม่มีความซื่อสัตว์ต่อนาง เจ้าชายโกรธแก้วมากและสั่งให้แก้วมีโอรสให้ตนให้ได้ พระองค์ต้องการเห็นโอรสของพระองค์เมื่อเสด็จกลับมา และถ้าหากแก้วมีโอรสให้พระองค์ไม่ได้นางก็จะถูกประหารชีวิต แก้วเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนจะมีโอรสให้เจ้าชาย โดยไม่มีการหลับนอนกันเลยได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกสิ้นหวังแต่ก็มีจิตใจแน่แน่วที่จะแก้เผ็ดเจ้าชายให้จงได้ เพื่อรับคำท้าของเจ้าชาย นางออกจากเมืองและไปยังเมืองโรมวิถีโดยอาศัยเรือเหาะของตน หลังจากถอดหน้ากากหน้าม้าออกแล้ว แก้วก็ไปอาศัยอยู่กับตายายใกล้แม่น้ำนอกเมือง วันหนึ่งในขณะอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำ เจ้าชายปิ่นทองก็ได้มาพบนางเข้าและก็หลงใหลในความงามของนาง ในขณะที่ชายาใหม่ของพระองค์กำลังบรรทมอยู่นั้น เจ้าชายก็แอบออกมาจากวังและแต่งกายเป็นชาวบ้านมาเกี้ยวพาราสีแก้ว ผู้ซึ่งก็พร้อมจะเป็นชายาของพระองค์อยู่แล้วเพราะต้องการมีลูกกับพระองค์ ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนกระทั่งแก้วตั้งครรภ์ ก่อนที่จะจากนางไป เจ้าชายได้มอบแหวนให้แก่นางไว้แล้วเสด็จกลับเมืองมิถิลาโดยไม่ได้นำเจ้าหญิงทัสมาลีกลับไปด้วย
หลังจากคลอดบุตรชายแล้ว แก้วก็ผูกแหวนไว้กับแขนของลูกน้อยแล้วส่งไปอยู่กับพระฤๅษีซึ่งเคยช่วยเหลือตน พระฤๅษีเข้าฌานดูก็รู้ว่าเจ้าชายปิ่นทองกำลังอยู่ในอันตราย เพราะว่าถูกล้อมโดยกองทัพยักษ์นำ โดยพญายักษ์ชื่อว่า “พาละราช” แล้วพระฤๅษีก็แปลงแก้วให้เป็นชาย และสั่งให้นางไปช่วยเจ้าชายในทันที แก้วสามารถฆ่ายักษ์ได้สำเร็จแล้วยึดเมืองไว้ได้ พระมเหสีของพญายักษ์จึงยกธิดาผู้เลอโฉมทั้งสองพระองค์ นามว่า “สร้อยสุวรรณ” และ “จันทร์สุดา”ตามลำดับให้กับเจ้าชายปิ่นทอง แต่เจ้าชายปฏิเสธที่จะรับเพราะตนไม่ใช่ผู้ที่ชนะศึก ดังนั้นองค์หญิงทั้งสองพระองค์จึงควรตกเป็นชายาของแก้วผู้ซึ่งรับไว้โดยไม่รีรอ
แล้วแก้วก็บอกให้เจ้าชายปิ่นทองอยู่ในเมืองยักษ์ไปสักระยะหนึ่งก่อน ในขณะที่นางนำธิดาของยักษ์ทั้งสองไปยังกระท่อมของพระฤๅษี และบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งสองฟัง หลังจากบอกเจ้าหญิงทั้งสองว่าตนเป็นใครแล้ว แก้วก็นำเจ้าหญิงทั้งสองไปพบเจ้าชายปิ่นทองและมอบให้เป็นชายาของเจ้าชาย และแล้วแก้วก็กลับมาหาลูกที่ศาลาพระฤๅษี หลังจากอยู่ในเมืองยักษ์มาระยะหนึ่ง เจ้าชายก็พาชายาทั้งสองกลับไปยังเมืองมิถิลาของพระองค์ และก็ต้องประหลาดพระทัยที่ต้องเผชิญหน้ากับแก้ว ผู้ซึ่งนำพระโอรสของพระองค์มาถวาย แรกทีเดียวก็ไม่ทรงเชื่อ แต่แหวนที่ข้อมือของกุมารทำให้พระองค์ต้องเชื่อและรับกุมารเป็นโอรสของพระองค์ แล้วเจ้าชายก็ตั้งชื่อพระโอรสว่า “ ปิ่นแก้ว”
เวลาต่อมาเจ้าหญิงทัสมาลีเกิดคิดถึงเจ้าชายปิ่นทอง ดั้งนั้นจึงตามมาพบพระองค์แต่ก็ต้องเจ็บใจที่พบว่า เจ้าชายแสดงความรักต่อสร้อยสุวรรณและจันทร์สุดามากกว่าตน ด้วยความหึงหวงจึงได้เกิดการทะเลาะและโต้เถียงกัน และแก้วก็ได้มาห้ามและเข้าข้างสองธิดายักษ์ นางจึงจำใจกลับเมืองของตนด้วยความผิดหวังและเคียดแค้น
ในเวลาต่อมาพระปิ่นทอง ก็ทรงมีพระธิดาอีกสามพระองค์ที่ประสูติจากพระมเหสีทั้งสาม คือ “พระธิดาแจ่มจันทร์” จากนางแก้ว “พระธิดาหิรัญรัตน์” จากนางสร้อยสุวรรณ และ “พระธิดาประภัสสร” จากนางจันทร์สุดา เมืองมิถิลามีความสงบสุขมานาน จนกระทั่งพระธิดาทั้งสามอายุวัยรุ่นและก็มีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นอีก ในขณะที่พระธิดาวัยรุ่นทั้งสามพระองค์กำลังพักผ่อนอิริยาบถอยู่ในพระราชอุทยาน ก็มีนกหัสดีลิงค์บินมา โฉบเอาทั้งสามพระองค์ไปด้วยนึกว่าเป็นเหยื่อ แต่ก่อนที่พระธิดาทั้งสามจะถูกนกยักษ์กลืนลงคอ พระฤๅษีซึ่ง อาศัยอยู่บริเวณนั้นก็ออกมาช่วยไว้ทันและมีความสงสารในพระธิดาทั้งสามอย่างมาก จึงช่วยสั่งสอนวิชาอาคมให้จนเก่ง
ในเวลานั้น มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองโรมจักร ปกครองโดย “ท้าวทศมิตร” ท้าวเธอมีโอรสวัยรุ่น ๓ องค์คือ “ทินกร” “ศรนรินทร์” และ “สินนรา” ตามลำดับวันหนึ่งในขณะที่เจ้าชายทั้งสามประพาสไปทางทะเลเรือของทั้งสามพระองค์ถูกพายุใหญ่พัดจมลง โชคดีที่พญานาคใจบุญมาช่วยไว้ และให้พิษใส่ไว้ในกายของทั้งสาม เพื่อใช้ป้องกันตัวเมื่อเผชิญกับอันตราย แล้วเจ้าชายทั้งสามก็กราบลาพญานาค และขอบคุณสำหรับความเมตตาแล้วก็ออกเดินทางผ่านป่าดงพงไพรต่อไป
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่ได้สั่งสอนวิชาอาคมให้เจ้าหญิงทั้งสามแล้ว พระฤๅษีก็ตัดสินใจหาสามีที่เหมาะสมให้กับนางทั้งสามแล้ว ท่านฤๅษีก็ประกาศว่าผู้ใดที่สามารถเอาชนะเจ้าหญิงองค์ใดได้ ก็จะได้เป็นพระสวามีของเจ้าหญิงพระองค์นั้น ผู้ที่เข้าแข่งขันซึ่งรวมถึงมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่สามารถเอาชนะองค์หญิงได้ เมื่อเจ้าชายทั้งสามได้ข่าวการแข่งขันก็ได้เข้าร่วมด้วยผลปรากฏว่าเจ้าชายทั้งสามมีฝีมือเท่ากับเจ้าหญิงทั้งสาม เนื่องจากไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะในการต่อสู้กัน พระฤๅษีคิดว่าทั้งหมดเป็นเนื้อคู่กัน
ในเวลาเดียวกันนั้น เจ้าหญิงทัสมาลีก็ประสูติพระโอรสพระนามว่า “เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชย” ผู้ซึ่งถูกส่งไปศึกษาวิชาอาคมกับอาจารย์ในเมืองของตน เมื่อโอรสของพระนางเจริญวัยแล้วเจ้าหญิงทัสมาลีก็คิดถึงเจ้าชายปิ่นทองขึ้นมา จึงให้อาจารย์ทำเสน่ห์ให้เพื่อทำให้เจ้าชายหลงรักมากจนกระทั่งไม่สามารถจะอยู่อย่างสงบได้ เจ้าชายจึงขโมยเรือเหาะ มีดวิเศษและหน้ากากม้าจากแก้วแล้วมุ่งหน้าสู่เมืองโรมวิถี
เมื่อรู้ความจริง แก้วก็ยกทัพไปยังเมืองโรมวิถีและต้องการตัวเจ้าชายปิ่นทองกลับ แต่เจ้าหญิงทัสมาลีปฏิเสธ และส่งโอรสของนางไปสู้กับแก้ว ในช่วงแรกแก้วได้เปรียบ แต่เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชยขอให้อาจารย์ของตนช่วย และคราวนี้แก้วแพ้และถูกจับตัว เพื่อช่วยเหลือแก้วพระเจ้าภูดลจึงส่งเจ้าชายปิ่นแก้วไปช่วยมารดาของเจ้าชายเอง ในขณะออกเดินทางไปช่วยมารดาเจ้าชายปิ่นแก้วก็ได้พบกับเจ้าชายทั้งสามผู้ซึ่งความจริงเป็นน้องเขยของพระองค์เอง แต่เนื่องจากทั้งสามไม่รู้จักเจ้าชายปิ่นแก้ว จึงเกิดสู้รบกันขึ้นแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะเจ้าชายปิ่นแก้วได้ ทั้งสามจึงกลับไปบอกภรรยาของตนผู้ซึ่งต่อมารู้ว่าศัตรูที่ว่านั้น คือ พระเชษฐาของพวกตน หลังจากทราบข่าวเกี่ยวกับมารดาของพวกตน เจ้าหญิงทั้งสามพร้อมทั้งพระสวามีจึงร่วมมือกับเจ้าชายปิ่นแก้วทำสงครามกับเมืองโรมวิถี หลังจากสงครามสงบลง หมอทำเสน่ห์ถูกจับตัวได้และสารภาพผิด ในขณะที่เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชยหนีไปได้ เจ้าหญิงทัสมาลีเองก็จะต้องโทษประหาร ถ้าหากว่าพระบิดาของนางไม่ขอร้องพระเมตตาจากเจ้าชายปิ่นทอง
ในขณะเสด็จกลับเมืองมิถิลา เจ้าชายปิ่นแก้วก็ได้พบกับเจ้าชายปิ่นศิลป์ไชยผู้ซึ่งถูกทหารของตนล้อมอยู่ เจ้าชายปิ่นแก้วจึงบอกให้ยอมมอบตัวและลืมเรื่องในอดีตเสียเพราะต่างก็เป็นพี่น้องกัน เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชยจึงขอให้พระเชษฐาอภัยโทษให้ แล้วก็ร่วมเดินทางกลับไปยังเมืองของพระบิดา ทั้งหมดก็อยู่ในเมืองมิถิลาด้วยกันอย่างมีความสุข
ความจริงแล้วเนื้อเรื่องไม่ได้จบลงเพียงแค่นี้ แต่ว่าต่อจากนี้ไปแก้วหน้าม้ากับเจ้าชายปิ่นทองก็ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรในเนื้อเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับโอรสทั้งสองผู้ซึ่งเผชิญกับเหตุการณ์มากมายหลายอย่าง ในขณะเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ แต่ว่าในที่สุดแล้ว ก็จบลงด้วยความสุข
...........................................................
ขอขอบคุณ
https://sites.google.com/site/thai048/nithan-phun-ban-reuxng-kaew-hna-ma/kaew-hna-ma-txn-thi-1
https://sites.google.com/site/thai048/nithan-phun-ban-reuxng-kaew-hna-ma/kaew-hna-ma-txn-thi-2
https://sites.google.com/site/thai048/nithan-phun-ban-reuxng-kaew-hna-ma/kaew-hna-ma-txn-thi-3
https://sites.google.com/site/thai048/nithan-phun-ban-reuxng-kaew-hna-ma/kaew-hna-ma-txn-thi-4
https://sites.google.com/site/thai048/nithan-phun-ban-reuxng-kaew-hna-ma/kaew-hna-ma-txn-thi-5
https://sites.google.com/site/thai048/nithan-phun-ban-reuxng-kaew-hna-ma/kaew-hna-ma-txn-thi-6